วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ในหลวงพระโพธิสัตว์รัชกาลที่ 9 เสด็จสู่ดุสิตมหาสวรรค์






แม้จะอยู่ในช่วงเศร้าและอาลัย แต่ผมก็มีความสุขเมื่อเปิดทีวีทิ้งไว้ทั้งคืน แม้จะหลับบ้าง ตื่นขึ้นมาบ้าง แต่พอได้ยินเสียงสารคดีของในหลวง ร.9 ผมก็รู้สึกสุขใจยิ่งนัก

แง้มตาดูทีวีทีไร เห็นในหลวงในทีวี รู้สึกคิดถึงพระองค์เหลือเกิน

ในหลวงเสด็จสู่สรวงสวรรค์แล้ว

ผมสันนิษฐานเองตามพระไตรปิฎกว่า ดวงพระวิญญาณของพระองค์คงจะทรงสถิตอยู่ที่สวรรค์ชั้นดุสิตแล้ว

เพราะในหลวง ร.9 ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ (เมื่อวานในวิทยุก็พูดแบบนี้)

พระโพธิสัตว์ส่วนใหญ่จะสถิตอยู่ที่สวรรค์ชั้นดุสิต (หรืออาจชั้นดาวดึงส์บ้างเป็นบางองค์)

(ใครไม่รู้ว่าในหลวง ร.9 คือพระโพธิสัตว์ เชิญอ่านที่บทความนี้ https://goo.gl/e6WE7M )

ตามหลัก พระโพธิสัตว์ย่อมต้องมีพวกมารผจญ เพื่อสร้างสมบารมี ดังนั้น การที่มีพวกคนเลวหนักแผ่นดิน มีพวกล้มเจ้า มันพวกนี้ก็คือพวกมารผจญ เพื่อให้พระโพธิสัตว์ได้บำเพ็ญเพียรบารมี นั่นเอง (ถือเป็นเรื่องปกติ)

ฉะนั้น เราไม่ต้องไม่โกรธไปแค้นพวกหนักแผ่นดินพวกนั้น ให้ใจเราเศร้าหมองเลยนะครับ เพราะทุกคนล้วนมีกฎแห่งกรรมเป็นของตนเองอยู่แล้ว

ผมจะบอกคุณผู้อ่านว่า ตอนนี้ในหลวงพระโพธิสัตว์ท่านเสด็จสู่ดุสิตมหาสวรรค์ไปแล้ว

(ตามความเชื่อในของคนไทยในยุคโบราณ มีความเชื่อว่า พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ ทรงเป็นดั่งพระโพธิสัตว์ ที่จะต้องพำนักที่ดุสิตมหาสวรรค์ จึงมีการสร้างพระที่นั่งดุสิตมหาสวรรค์ขึั้น)


พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท สถานที่ตั้งพระบรมโกศในหลวงรัชกาลที่ 9

ดังนั้นพวกเลวหนักแผ่นดินทั้งหลาย ถึงอยู่ไปตอนนี้ก็ย่อมไร้ประโยชน์แล้วเช่นกัน

อีกไม่นาน กฎแห่งกรรมจะจัดสรรให้พวกเลวนี้โดยเร็วทีละคนแน่นอนครับ (อย่าไปใส่ใจพวกมันมากนัก)

-----------------

ในหลวงโพธิสัตว์ผู้ทรงช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเรื้อน

ผมดูรายการเดินหน้าประเทศไทยเมื่อเย็นวันที่ 23 ตุลาคม 2559 ที่ผ่านมา เรื่องมูลนิธิราชประชาสมาสัยฯ เกี่ยวกับการช่วยเหลือรักษาผู้ป่วยโรคเรื้อนและการส่งเสริมการศึกษาของบุตรหลานของผู้ป่วยโรคเรื้อน

ในหลวงทรงกล้าจับมือผู้ป่วยโรคเรื้อนโดยไม่ทรงรังเกียจเลย สมัยก่อนใครป่วยโรคเรื้อน ครอบครัวก็ไม่เอา สังคมก็รังเกียจ แม้แต่แพทย์ก็ไม่รับรักษา


ในหลวงทรงเสด็จเยี่ยมผู้ป่วยโรคเรื้อน

ในหลวงทรงมีพระเมตตาประดุจพระโพธิสัตว์จริงๆ
ประเทศไทยพ้นภัยโรคเรื้อนเพราะพระมหากรุณาธิคุณล้นฟ้าล้นแผ่นดินโดยแท้ (อดีตผู้ป่วยโรคเรื้อนใช้คำนี้)

แค่ทรงช่วยเหลือผู้ป่วยเรื่องโรคเรื้อนในประเทศไทยอย่างเดียว จนประเทศไทยปลอดจากโรคเรื้อนตามมาตรฐานองค์การอนามัยโรค

เพียงเท่านี้พระมหากรุณาธิคุณล้นฟ้าล้นแผ่นดินแล้ว ถ้าในหลวงทรงไม่ทำตอนนั้น นึกไม่ออกเลยว่า ใครจะทำ


คลิกอ่าน ในหลวง ร.9 กับวิถีพระโพธิสัตว์





วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2559

สื่อชั่วเสี้ยมให้คนด่าบิ๊กตู่ กรณีห้ามชาวบ้านอาบน้ำกลางถนน







สื่อชั่วสังกัดตระกูลชั่วจนชิน พาดหัวทำนองว่า นายกฯ บิ๊กตู่ ห้ามชาวบ้านนุ่งกระโจมอกอาบน้ำประท้วงถนนพัง ทำเอาคนที่ไม่ได้ฟังคลิปที่นายกฯ พูดเต็ม ๆ ด่านายกฯ ว่า ทำไมต้องห้ามในเมื่อมันเป็นเรื่องจริง 




ทั้ง ๆ ที่ ความจริง นายกฯ ไม่ได้ห้ามชาวบ้านประท้วงประชด แถมนายกฯ ยังเกรงว่า ต่อไปชาวบ้านอาจจะนุ่งชุดว่ายน้ำมาประท้วงอีกด้วยซ้ำ เพราะถนนมันเป็นหลุมลึกขึ้น

ถ้าได้ฟังนายกฯ พูดประเด็นนี้ให้ตลอด นายกฯ ตำหนิเจ้าหน้าที่รัฐที่มีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น และตำหนิองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นบางแห่ง ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์จนชาวบ้านต้องออกมาประชดแบบนี้



ปัญหาสำคัญที่สุดของคนไทยตอนนี้คือ ชอบอ่านแต่พาดหัวข่าว แถมมักฟังความข้างเดียว เลือกเชื่อในสื่อที่ตัวเองอยากจะเชื่อ จึงทำให้สังคมไทยแตกแยกวุ่นวายมากขึ้น

ปัญหาถนนเข้าหมู่บ้าน รวมถึงถนนที่ใช้ร่วมกันของหลายหมู่บ้าน มันเป็นหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนท้องถิ่นที่ต้องจัดการดูแล ถ้าขาดงบประมาณก็สามารถทำเรื่องพร้อมเหตุผลประกอบส่งมาที่หน่วยงานราชการประจำจังหวัดได้ เพื่อให้ส่วนกลางอนุมัติงบช่วยเหลือได้

แต่ความจริงองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นมีเงินมากพอ แต่ละเลย เพราะเอาเงินไป....หมด (ไม่อยากจะพูด)

แล้วพอเป็นข่าวดังขึ้นมา องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นถึงรีบออกมาขยับแก้ปัญหากัน จริงไหม?

นายกฯ พูดว่า อยากให้ไปอธิบายประชาชนให้เข้าใจว่า การที่ประท้วงแบบนี้ เมื่อภาพข่าวมันออกไปต่างประเทศ ต่างประเทศเขาก็ไม่รู้หรอกว่า มันเป็นหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนท้องถิ่น แต่เขาด่ามาที่รัฐบาลกลาง

แล้วการที่นายกฯ บอกว่า อย่าให้มีอีก หมายถึง ตำหนิเจ้าหน้าที่รัฐที่กำกับดูแล ว่าอย่าให้ชาวบ้านเดือดร้อนจนต้องมาประท้วงแบบนี้อีก ไม่ใช่นายกฯ จะไปห้ามชาวบ้านประท้วง

นี่คือสาระสำคัญที่นายกฯ บิ๊กตู่ต้องการจะสื่อสาร แต่สื่อชั่ว ๆ มันเสี้ยมให้คนด่านายกฯ ไปก่อนแล้ว

----------

ข้อคิดท้ายบทความ

ปัญหาถนนเข้าหมู่บ้านพัง จนชาวบ้านต้องออกมาประชดผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์คนั้น เป็นปัญหาที่เกิดมาหลายสิบปีแล้ว

ไม่ใช่ถนนเพิ่งมาพังในยุครัฐบาล คสช.

แต่ที่ผ่านมานับสิบ ๆ ปีชาวบ้านไม่กล้าออกมาประท้วง เพราะเกรงกลัวอิทธิพลของนักการเมืองท้องถิ่น ที่มักเป็นลูกน้องนักการเมืองระดับประเทศอีกด้วย

ซึ่งโดยหลักการ ประชาชนสามารถร้องเรียนไปที่นายอำเภอ เรื่อยไปจนถึงผู้ว่าราชการจังหวึดได้ แต่ถ้ายุคก่อน ๆ ชาวบ้านก็ไม่กล้าร้องเรียนเท่าไหร่นัก เพราะเหตุผลมากมายร้อยแปด รวมถึงเกรงกลัวอิทธิพลนักการเมืองท้องถิ่นด้วย

แต่เพราะยุค คสช. ที่กล้าปราบปรามอิทธิพลท้องถิ่น จึงทำให้ชาวบ้านกล้าออกมาประท้วงแบบนี้ได้