วันอังคารที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2559

สมเด็จช่วง ผู้เป็นเลิศในการสะสมของโบราณหรู






จากกรณี ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช นามว่า สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือ สมเด็จช่วง แห่งวัดปากน้ำ โดนคดีรถเบนซ์หรูเถื่อน

ฝ่ายสนับสนุนสมเด็จช่วง มักพูดว่า แค่รถเก่า ๆ เท่านั้น ไม่ได้หรูเลย

นั่นเป็นความเชื่อที่ผิดมาก

เพราะที่จริงรถเบนซ์โบราณหรู ทะเบียน ขม.99 ของสมเด็จช่วง คันที่เป็นคดีตอนนี้ เป็นรถที่มีทั้งโลกแค่ 100 คันเท่านั้น ถือเป็นรถสะสมของบรรดาเศรษฐี มีราคาในท้องตลาดตั้งแต่ 10-20 ล้านบาทต่อคัน ตามคำแถลงของอธิบดี DSI ตามนี้

"รถคันดังกล่าวเป็นรถคลาสสิคเมอร์เซเดสเบนซ์รุ่น 300 บี ผลิตจากประเทศเยอรมันเมื่อปี ค.ศ.1953 อายุ 60 ปี ผลิตเพียง 100 คัน จัดอยู่ในประเภทรถคลาสสิค ทรงสวยงาม มีไว้เพื่อสะสม ราคา 10-20 ล้านบาท" อธิบดี DSI แถลง

ผมว่า ถ้าท่านช่วงบริสุทธิ์ใจจริง ๆ ว่าไม่ได้สะสมรถหรูเพื่อเป็นสมบัติส่วนตัว ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องใส่ชื่อตัวเองเป็นเจ้าของรถก็ได้ ถ้าใส่ชื่อมูลนิธิหลวงพ่อวัดปากน้ำ เป็นเจ้าของรถเสียตั้งแต่แรก ก็คงรอดตัวไปแล้ว ไม่ต้องมัวหมองแบบนี้

แล้วจากบทความเรื่อง เจ้าคุณแป๊ะได้เลื่อนสมณศักดิ์เร็ว เพราะถวายรถเบนซ์ให้สมเด็จช่วง 

ทำให้ผมมานึก ๆ ดู ว่า มักเห็นพระอีกหลาย ๆ รูป เป็นผู้มาถวายของโบราณแก่สมเด็จช่วง ทำให้ผมนึกสงสัยว่า นี่จะเป็นการถวายของโปรดของสมเด็จช่วง เพื่อหวังลาภยศและหวังเลื่อนสมณศักดิ์เฉกเช่นหลวงพี่แป๊ะถวายรถเบนซ์หรือไม่ ?

แล้วขอถามสมเด็จช่วงว่า มันใช่กิจที่ภิกษุควรกระทำหรือไม่ กับการตั้งพิพิธภัณฑ์ของสะสมโบราณหรู ๆ ทั้งหลายน่ะ แล้วมาอ้างเหตุผลบังหน้าว่า เพื่อให้ประชาชนได้ดูได้ศึกษา ??

ผมว่า ไม่น่าจะใช่เพื่อให้ประชาชนได้ดูได้ศึกษาของโบราณหรู ๆ หรอกมั้ง

แต่ !! น่าจะเป็นกิเลสตัณหาของสมเด็จช่วงเองมากกว่า ที่อยากสะสม อยากโอ้อวด


แล้วที่ DSI อุตส่าห์เดินทางไปขอสอบปากคำสมเด็จช่วง กรณีรถเบนซ์เถื่อนถึงวัดปากน้ำ แต่สมเด็จช่วง กลับเล่นแง่ไม่ยอมตอบคำถามกับ DSI โดยดี

แถมยังให้ทนายความแส่มาสั่งให้ DSI ทำหนังสือคำถามส่งมาให้ที่วัด เพื่อจะให้สมเด็จช่วงตอบคำถามให้เป็นลายลักษณ์อักษรกลับไปนั้น

ซึ่งก็คงไม่ใช่สมเด็จช่วง จะตอบคำถามเองหรอก ก็คงให้ทนายความนั่นแหละตอบคำถามแทน

แต่มันใช่สิ่งที่ถูกต้องหรือที่สมเด็จช่วงจะมาทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชนอยู่เหนือกฎหมายกว่าคนทั่วไป ในการให้ปากคำกรณีรถเบนซ์เถื่อนของตัวเอง

ในเมื่อสมเด็จช่วงทำตัวหัวหมอมากนัก บิ๊กต๊อก พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายารมว.ยุติธรรม ก็เลยบอกว่า ถ้าสมเด็จช่วงยังไม่ให้ความร่วมมือในการให้ปากคำโดยดี ก็อาจต้องออกหมายเรียก เพื่อเชิญท่านมาให้ปากคำ ซึ่งท่านช่วงจะให้ทนายความมาให้ปากคำแทนตนเองก็คงไม่ได้

แล้วถ้าสมเด็จช่วงยังดื้อแพ่งต่อหมายเรียกอีก ก็อาจถึงขั้น ต้องออกหมายจับสมเด็จช่วง

ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้พลพรรคขี้ข้าสมเด็จช่วง ก็ออกมาฮึ่ม! จะขอให้ปลด รมว.ยุติธรรม อีกคน หลังจากเคยทำซ่าเข้าชื่อขอให้ปลดผู้ตรวจการแผ่นดินไปคนนึงแล้ว

เหอะ ๆ สมเด็จช่วงแอนด์เดอะแก๊งค์ กำลังทำตัวเหนือกฎหมาย ใหญ่คับเมืองเลยนะนี่

ขนาดยังไม่ทันเป็นสมเด็จพระสังฆราช ยังกร่างขนาดนี้ ถ้าได้เป็นสมเด็จพระสังฆราชจริง ๆ ไม่รู้จะกร่างใหญ่คับประเทศขนาดไหน

เสื่อมจริง  ๆ

ลองฟัง บิ๊กต๊อก พูดถึงว่า ตนเองเคยไปจาบจ้วงสมเด็จช่วงตรงไหน และพูดถึงกรณีสมเด็จช่วงเล่นแง่ไม่ยอมให้ปากคำ ครับ





ในสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามักจะทรงยกย่องภิกษุผู้ซึ่งเป็นเอตทัคคะ หรือหมายถึง ผู้ยอดเยี่ยมหรือเป็นผู้เลิศในทางใดทางหนึ่งเป็นพิเศษ จะเป็นรองแค่พระพุทธเจ้าเท่านั้น

อย่างเช่น พระพุทธเจ้าทรงยกย่องภิกษุณีกีสาโคตมีเถรี ว่าเป็นเลิศด้านทรงจีวรเศร้าหมอง ซึ่งหมายถึง นุ่งห่มจีวรเก่า ๆ สีซีด

ที่ผมยกตัวอย่างกรณีพระกีศาโคตมีเถรี นั้น ก็เพื่อจะบอกว่า พระพุทธเจ้าท่านทรงยกย่องภิกษุที่ทำตัวมักน้อย สมถะ

พระพุทธเจ้าไม่เคยทรงยกย่องภิกษุผู้มากด้วยกิเลส มีรสนิยมเลิศ นุ่งห่มจีวรหรูราคาแพง หรือสะสมทรัพย์สินมากมายก่ายกอง

ทำให้ผมนึกถึงหลวงปู่เจ้าคุณ พระมงคลทีปาจารย์ พระราชาคณะ เจ้าอาวาสวัดเเจ้ง อ.เกาะสมุย ที่ซึ่งมีจริยวัตรเรียบง่ายสมถะ แม้ท่านจะอายุ 90 ปีแล้ว แต่ก็ยังออกบิณฑบาตรทุกวันไม่ขาด แถมยังนุ่งจีวรเก่า ๆ จีวรเศร้าหมอง ตามรูปนี้ครับ



ส่วนสมเด็จช่วงน่ะเหรอ แค่กิเลสระดับพื้น ๆ ยังระงับไม่ได้ แล้วยังจะหวังจะเป็นพระราชาแห่งสงฆ์ อีกรึ ??

คลิกอ่าน สมเด็จมหารัชมังคลาจารย์ ผุ้ลุ่มหลงลาภสักการะสรรเสริญ

คลิกอ่าน เมื่อไพบูลย์ นิติตะวัน สอนมวยทนายความสมเด็จช่วง

คลิกอ่าน อย่าบำรุงพระจนเกินความพอดีของการเป็นภิกษุ


วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2559

ขออภัย ทักษิณไม่ใช่หมา & ประชาธิปไตยไทยแท้คือ?






หลัง ๆ มานี้ ผมไม่ค่อยอ่านข่าวการเมืองเท่าไหร่นัก ยิ่งข่าวที่ทักษิณจ้อเมืองนอก ผมก็ไม่ได้เข้าไปอ่านรายละเอียดของข่าวเลย

ผมอ่านแค่พาดหัวเท่านั้น แล้วก็ผ่านเลยไปอย่างไม่แยแส

นี่เพิ่งเห็นข่าวในทีวีแวบ ๆ ว่า มีนักการทูตได้เปรียบทักษิณเป็นหมา อย่างนั้นเหรอ ?

ผมไม่ได้อ่านข่าวนี้เลยจริง ๆ แต่เห็นข่าวทีวีว่า นายนพเหล่ ขี้ข้าเบอร์ 1 ของทักษิณ ได้ออกมาตอบโต้

คือเมื่อก่อน ผมเองก็เคยเปรียบทักษิณเป็นหมาเหมือนกัน แต่เป็นหมาจรจัดนะ

แต่พอเวลาเริ่มผ่านไปนานวันเข้า ผมก็ยิ่งรู้ชัดเจนขึ้นว่า ทักษิณไม่ใช่หมา

เพราะหมาซื่อสัตย์ ในขณะที่ทักษิณอกตัญญู

เอ... งั้นทักษิณเป็นตัวอะไรดีหว่า ?

แต่ที่แน่ ๆ ทักษิณต้องไม่ใช่หมาอย่างแน่นอน เพราะหมานิสัยดีกว่าทักษิณจนเอามาเทียบกันไม่ได้


----------------------

เสียงส่วนใหญ่ที่คนรักทักษิณ หลงใหลยิ่งลักษณ์ชอบอวดอ้าง

คือ ต้องยอมรับว่า พรรคการเมืองหรือพรรคขี้ข้าทักษิณ เขาได้เสียงส่วนใหญ่จากผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งทั่วประเทศในหลายครั้งที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2544 มายัน 2554

เป็น 10 ปีที่พรรรคขี้ข้าของทักษิณ เขาชนะได้เสียงส่วนใหญ่ในสภาผู้แทนราษฎรไปจริง ๆ

ตรงนี้เองที่ทำให้พวกเสื้อแดงยังใช้อ้างอวดขี้โม้มาได้จนถึงวันนี้

ตราบใดที่ฝ่ายพรรคขี้ข้ายังได้ครองเสียงมากที่สุดในการเลือกตั้ง ตราบนั้นคนรักทักษิณ หลงยิ่งลักษณ์ หรือพวกเสื้อแดงก็จะแอบอ้างได้ต่อไปว่า พวกเขาคือ ฝ่ายประชาธิปไตย

ถ้าเมื่อไหร่ที่พรรคขี้ข้าทักษิณเกิดแพ้การเลือกตั้งขึ้นมา พวกเสื้อแดงจะหมดมุกหากินในทันที เพราะเสื้อแดงจะกลายเป็นควายแดงเสียงข้างน้อยในทันที

ส่วนอีกฝ่ายที่เสื้อแดงชอบเรียกว่า สลิ่ม ก็อาจจะกลายเป็นพวกสลิ่มเสียงข้างมากในทันทีเช่นกัน

แล้วถ้าสมมุติว่า ถ้าเกิดพวกสลิ่มมีเสียงข้างมากจริง ๆ แล้วพวกสลิ่มเกิดชอบพลเอกประยุทธ์มากกว่าการเลือกตั้งล่ะก็

เช่นสมมุติว่า ในการลงประชามติที่กำลังจะเกิดขึ้น เกิดมีคำถามเพิ่มว่า จะให้พลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ เพื่อปฏิรูปประเทศต่อไปอีก 2 ปีหรือไม่ ?

เกิดพวกสลิ่มที่ควายแดงชอบเรียก เกิดลงคะแนนจนกลายเป็นเสียงส่วนใหญ่ในประชามติเพื่อให้พลเอกประยุทธ์ได้อยู่ปฏิรูปประเทศไปอีก 2 ปี ล่ะก็

ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ  เราจะเรียกว่า คนไทยส่วนใหญ่ชอบเผด็จการ หรือแปลให้งงเข้าไปอีกก็คือ เสียงส่วนใหญ่ชอบเผด็จการ แล้วเราจะถือว่า ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยหรือเผด็จการกันแน่ ?? งงมะ??


ผมเลยมานึก ๆ ดู และเพิ่งคิดได้เมื่อกี้นี่เองว่า ความจริงประเทศไทยเรานี้ การเลือกตั้งของคนไทยที่ผ่านมาในระบอบประชาธิปไตยไม่เต็มใบตั้งแต่ 2475 เป็นต้นมา คนไทยเราไม่ได้เลือกคนที่ดีที่สุด หรือคนเลวน้อยที่สุดเข้าสภาหรอกครับ

แต่ประชาธิปไตยของไทยที่แท้จริงก็คือ พรรคไหนที่มีนักการเมืองเลวมากที่สุดในพรรค ก็จะได้คะแนนเสียงมากที่สุด มากกว่านะ ผมว่า

อย่างเช่น เมื่อพรรคเพื่อไทยเลวกว่าพรรคประชาธิปปัตย์ พรรคเพื่อไทยก็เลยได้คะแนนเสียงมากกว่าพรรคประชาธิปปัตย์ เป็นต้น

ก็เพราะคนไทยส่วนใหญ่เป็นพวกชอบเห็นกงจักรเป็นดอกบัว

เช่น ถ้าพรรคไหนที่คนไทยคิดว่าดีที่สุด จึงน่าจะแปลว่า เป็นพรรคที่เลวที่สุด

ดังนั้น ถ้าดูจากคะแนนเสียงเลือกตั้งใหญ่ครั้งล่าสุดในปี 2554 ที่ผ่านมา

พรรคเพื่อไทยที่ได้คะแนนเสียงมากที่สุด ก็คงเป็นพรรคที่เลวที่สุด

ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้คะแนนเสียงมากรองลงมา ก็คงเป็นพรรคที่เลวเป็นอันดับสอง

อันนี้ผมแค่คิดเล่น ๆ คนเดียวนะ อย่าถือสาล่ะ แฟน ๆ ของพรรคใหญ่ทั้งสองพรรค 555

ก่อนจะจบ ผมขอยกคำพูดนึงที่ผมเคยเขียนไว้ในบทความเก่า ๆ มาเขียนอีกครั้ง

"คนดีจำนวนน้อย ย่อมชนะคนเลวจำนวนมากได้ฉันใด ระบอบทักษิณก็ต้องล้มไปเพราะฝีมือพลเอกประยุทธ์ได้ฉันนั้น"

อ้าว !! ยกยอพวกตัวเองเป็นคนดีอีกแล้ว

โด่ ! ไอ้พวกคนดีเสียงส่วนน้อย !!

คลิกอ่าน มุกเก่าเสื้อแดง ด่า "ไอ้พวกเสียงส่วนน้อย"

------

อัพเดท ผลประขามติ 7 สิงหาคม 2559


บทความด้านบนผมเขียนเมื่อเดือนมีนาคม 2559 ที่ผ่านมา

แต่ผลประชามติ 7 สิงหาคม ปรากฏว่า คนไทยส่วนใหญ่รับร่าง รธน.ฉบับมีชัย และรับคำถามพ่วงที่ให้มี สว.สรรหามีสิทธิร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้ ไปอีก 5 ปี

สร้างความเงิบให้พวกขี้ข้าทักษิณที่ชอบคุยโม้ว่า ควายแดงคือเสียงส่วนใหญ่ คือพวกรักประขาธิปไตยได้หงายเงิบไปเลย 5555



วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2559

คดีสรยุทธกับความโง่ของคนมาตรฐานจริยธรรมต่ำ







หลังจากคดีไร่ส้มโกงค่าโฆษณา อสมท. และสรยุทธ ก็มีส่วนพัวพันในกรณีติดสินบนเจ้าหน้าที่ อสมท. ที่เอื้อผลประโยชน์ในทางที่ผิดให้นั้น

ซึ่งตอนนี้ศาลชั้นต้นก็ได้พิพากษาแล้วว่า นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา มีความผิดจริง และได้รับโทษจำคุกถึง 13 ปี 4 เดือน โดยไม่รอลงอาญานั้น

ก็เกิดกระแสสังคมตามมา ทั้งฝ่ายที่ต้องการให้สรยุทธหยุดทำหน้าที่พิธีกรเล่าข่าว และพืธีกรในรายการเจาะข่าวเด่น

แต่ก็มีคนอีกพวกที่กระโดดออกมาปกป้องสรยุทธ โดยอ้างว่า สรยุทธยังเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะคดียังไม่สิ้นสุด จึงไม่จำเป็นต้องหยุดดำเนินรายการ

ใครที่อ้างด้วยเหตุผลนี้เท่ากับ ไม่ได้รู้เรื่องกระบวนการยุติธรรมเลย

เพราะคำพิพากษาของศาลชั้นต้นถือว่ามีผลบังคับใช้แล้วและมีผลในทันที ซึ่งถ้าสรยุทธไม่ประกันตัวด้วยวงเงิน 2 ล้านบาทเพื่อออกไปสู้คดีต่อ ก็คือ ต้องติดคุก!!

จากคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในตอนนี้ต้องถือว่า สรยุทธมีความผิดจริง

ตราบใดที่สรยุทธยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าตนเองไม่ผิด จนศาลชั้นต่อไปเปลี่ยนคำพิพากษาใหม่

ณ เวลานี้ยังต้องถือว่า สรยุทธกระทำความผิดจริง!!

และถ้าเป็นคนในประเทศที่เจริญแล้วและมีมาตรฐานด้านจริยธรรมสูง คนที่เป็นบุคคลสาธารณะโดยเฉพาะเป็นสื่อสารมวลชน ก็ต้องแสดงความรับผิดชอบอย่างใดอย่างหนึ่ง

อย่างกรณีตัวอย่างที่ผมเคยยกตัวอย่างในบทความ 2 บทความ เช่น กรณีอดีตประธานสโมสรฟุตบอลบาเยิร์นมิวนิค ที่โดนศาลชั้นต้นตัดสินจำคุกในข้อหาเลี่ยงภาษี เขาตัดสินใจรับโทษจำคุกทันทีโดยไม่ยื่นอุทธรณ์คดีอีก และลาออกจากประธานสโมสรบาเยิร์นมิวนิคทันที

นี่แหละครับ สปิริตและจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมของคนในประเทศที่เจริญแล้ว

คลิกอ่าน สปิริตประธานสโมสรบาเยิร์นมิวนิค

หรืออีกกรณีคือ พิธีกรอันดับ 1 ของเกาหลีใต้ คังโฮดง ถูกกรมสรรพากรปรับภาษีย้อนหลังโทษฐานหลีกเลี่ยงภาษี แม้จะไม่ถึงกับต้องคดีจนติดคุกก็ตาม แต่คังโฮดงก็สำนึกในความผิดตนเอง แล้วประกาศขอหยุดทำหน้าที่เป็นพิธีกรเอง เป็นระยะเวลานานถึง 1 ปีครึ่ง พร้อมก้มหัวขอโทษประชาชนทั้งประเทศ

หรือในประเทศญี่ปุ่น มีรัฐมนตรีหญิงของญี่ปุ่นในรัฐบาลของนายชินโสะ อาเบะ คือ นางยูโกะ โอบุชิ
และเป็นอดีตลูกสาวอดีตนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น นายเคโช โอยุชิด้วย  เธอถูกแจ้งข้อหาใช้เงินของพรรคไปซื้อเสียง แค่มีข้อกล่าวหาเท่านั้น เธอลาออกจากการเป็นรัฐมนตรีเพื่อขอไปสู้คดีทันที

ที่ผมยกตัวอย่างมา นี่คือ มาตรฐานจริยธรรมของประเทศที่เจริญแล้ว

----------------------

มาตรการลงโทษทางสังคมควรน่ากลัวยิ่งกว่ากฎหมาย

ในประเทศที่เจริญแล้ว เช่น เกาหลีใต้และญี่ปุ่น มาตรการลงโทษทางสังคมเป็นเรื่องที่น่ากลัวยิ่งกว่ากฎหมายเสียอีก

เพราะหากใครทำผิดศีลธรรม จะอับอายไปถึงครอบครัวและวงศ์ตระกูลกันเลยทีเดียว หลายกรณีถึงขั้นต้องย้ายบ้านหนีกันเลย

แต่อีกหลายกรณี คนกระทำผิดก็ถึงขั้นต้องฆ่าตัวตายเลยเพื่อแสดงให้เห็นว่า ตนเองได้สำนึกในความผิดนั้นแล้วจริง ๆ และได้กระทำการลงโทษตัวเอง ก็เพื่อให้สังคมให้อภัยและหายโกรธ และไม่ไปลงโทษกับครอบครัวของเขาอีก

ซึ่งวัฒนธรรมและจารีตประเพณีของสองประเทศนี้มักจะเป็นแบบนี้ อย่างในกรณีประเทศเกาหลีใต้ ก็เช่น กรณีอดีตประธานาธิบดีเกาหลีใต้ นายโน มู-ฮย็อน ได้ฆ่าตัวตาย เพราะเหตุที่คนในครอบครัวของตนเข้าไปพัวพันข้อหาคอร์รัปชัน

ด้วยมาตรการลงโทษทางสังคมนี่แหละ ที่ทำให้คนญี่ปุ่นและคนเกาหลีใต้ ถึงไม่กล้าทำผิดศีลธรรม หรือละเมิดจริยธรรมกันง่าย ๆ เพราะเขากลัวมาตรการลงโทษทางสังคมยิ่งกว่าบทลงโทษทางกฎหมายเสียอีกครับ

ส่วนในกรณีคดีของสรยุทธเอง หลายคนเข้าใจประเด็นคลาดเคลื่อน เพราะที่มีคนเรียกร้องให้สรยุทธหยุดดำเนินรายการทางทีวีทางสื่อหลัก ย้ำ! ทีวีสื่อหลัก 

ไม่ใช่ห้ามสรยุทธประกอบอาชีพ แต่ขอแค่ให้เขาหยุดดำเนินรายการเล่าข่าว ในฐานะสื่อสารมวลชนเล่าข่าวหน้าจอทีวีเท่านั้น แต่รายการเรื่องเล่าเช้านี้ก็ยังเป็นของสรยุทธอยู่ และยังทำรายการต่อไปได้

เพราะอาชีพสื่อเป็นอาชีพที่ต้องคอยตรวจสอบคนอื่นด้วยข่าว จึงต้องมีมาตรฐานด้านจริยธรรมและจรรยาบรรณในวิชาชีพสูงกว่าอาชีพทั่วไป เพราะสื่อมีหน้าที่ตรวจสอบการโกงของคนอื่น ๆ แต่สื่อกลับมาโกงเสียเอง แล้วประชาชนจะเชื่อถือสื่อได้อย่างไร

แล้วเมื่อไหร่ที่สรยุทธได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า ตนเองไม่ผิด จนศาลชั้นต่อไปได้พิพากษาเปลี่ยนคำตัดสิน เขาก็กลับมาทำรายการต่อไปได้เหมือนเดิม และจะได้รับการยกย่องจากสังคมมากยิ่งขึ้นด้วยที่เขากล้าแสดงสปิริต

ตอนนี้ที่สังคมบางส่วนเรียกร้อง ก็เพราะอยากให้คนดังอย่างสรยุทธ ช่วยสร้างบรรทัดฐานที่ดีต่อสังคมและยกมาตรฐานของวิชาชีพสื่อไทยด้วย

แต่เผอิญมาตรฐานจริยธรรมของสังคมไทยกำลังตกต่ำ เพราะเมื่อยังมีคนมาตรฐานจริยธรรมต่ำออกมาสนับสนุนให้สรยุทธดำเนินรายการหน้าจอทีวีได้ต่อไป

ก็คงยากที่จะทำให้คนอย่างสรยุทธ ที่คงมีมาตรฐานด้านจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคมต่ำเช่นกันจะยอมทำตามคำเรียกร้องของอีกฝ่าย

เมื่อวันก่อนผมฟังวิทยุ ได้มีคนส่ง คห. มาที่ 101 fm.

เขาใช้คำว่า "ความดีบังตา" หมายถึง คนชั่วที่อยากจะกอบโกยนานๆ ก็ต้องทำความดีบังหน้าไว้ด้วย เพื่อต่อไปความดีนั้นจะได้บังตาคน ไม่ให้เห็นกงจักรที่ซ่อนอยู่

ก็เหมือนคดีสรยุทธที่ยังมีคนปกป้องเขา



--------------------

กรณีหมอพรทิพย์ ประกาศไม่ออกรายการของสรยุทธ เพราะสรยุทธผิดจรรยาบรรณสื่อ

ก็มีหลายคนออกมาด่าคุณหญิงหมอว่า หมอเองก็ผิดพลาดในกรณีนายห้างทอง แล้วก็พาลด่าคุณหญิงหมอว่า ไม่สมควรออกมาแสดงความเห็นในกรณีสรยุทธนั้น

ผมว่า คนที่ด่าคุณหญิงหมอพรทิพย์กำลังแยกแยะประเด็นไม่ถูกนะ เพราะกรณีคุณหญิงหมอ คือ ความผิดพลาดโดยไม่ตั้งใจ เพราะคนเราวินิจฉัยอาจผิดพลาดกันได้ ซึ่งนายนพดล ธรรมวัฒนะ ก็กำลังฟ้องร้องเพื่อให้คุณหญิงหมอชดใช้ค่าเสียหายอยู่

แต่กรณีสรยุทธคือ เจตนาโกงหรือคอร์รัปชันต่อหน่วยงานของรัฐ 

เพราะเรื่องการโกงและคอร์รัปชันต่อรัฐ เป็นการกระทำผิดด้านศีลธรรมและจริยธรรม ซึ่งสังคมไทยจะต้องแอนตี้ให้หนัก เพราะประเทศไทยไม่เจริญเหตุเพราะปัญหาคอร์รัปชันนี่แหละสำคัญที่สุด

-------

ส่วนตรรกะที่มีคนอ้างคดีสนธิลิ้มล้มละลาย ผมได้อธิบายไปแล้วว่า แตกต่างจากคดีสรยุทธไร่ส้มอย่างไร ในบทความเรื่อง ความแตกต่างคดีสนธิลิ้มล้มละลายกับคดีสรยุทธไร่ส้ม คลิกอ่าน 

แล้วสนธิ ถ้ายังจัดรายการทีวีอยู่รึเปล่า ก็แทบไม่มีใครรู้ ผมเองก็ไม่รู้เพราะไม่เคยสนใจดู แต่มันก็สถานีทีวีของสนธิลิ้มเอง ที่เช่าสัญญาณดาวเทียมของฮ่องกง ไม่ได้ใช้ช่องที่เป็นสัมปทานของรัฐ มันเป็นสถานีเฉพาะกลุ่มจริง ๆ ไม่ใช่สื่อหลัก !!

ส่วนคดีทางการเมืองของสนธิ ก็เหมือนคดีการเมืองของจตุพร พรหมพันธ์ นั่นแหละที่ว่า ทำไมถึงไม่มีใครห้ามสนธิลิ้มและจตุพรทำรายการทีวีต่อ คิดสิคิด !!

ดังนั้นถ้าใครอยากจะเรียกร้องให้สนธิหยุดจัดรายการทีวี (ยังมีอยู่รึเปล่าผมก็ไม่รู้) เชิญตามสบาย ผมไม่ห้ามเลย แต่ต้องเล่นจตุพรด้วยนะ

ฉะนั้น พวกที่เชียร์สรยุทธอย่าอ้างแค่ตรรกะตื้น ๆ ควรพิจารณาในรายละเอียดของกฎหมายในแต่ละคดีด้วย

ส่วนกรณี กนก ที่ฝ่ายเชียร์สรยุทธชอบยกมาอ้าง ผมเคยเขียนในเฟสไว้ตามนี้



-----------------------

สุดท้ายขอฝากถึงพลเอกประยุทธ

ขอฝากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สำหรับกรณีคดีสรยุทธ ไร่ส้ม ด้วยว่า

ลุงตู่ช่วยดูไอ้พวกหน่วยงานราชการ และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ที่ยังเสร่อไปลงโฆษณากับรายการของสรยุทธอีก

คือ ถ้าบริษัทห้างร้านทั่วไปยังอยากจะลงโฆษณาต่อไป มันก็เรื่องของเขา
แต่กรณีหน่วยงานของรัฐ และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจเอง ถ้ายังไปลงโฆษณากับรายการของสรยุทธอีกก็บัดซบแล้วครับ เช่น การประปานครหลวง เป็นต้นที่ยังเสร่ออยู่

ผมว่า ลุงตู่ช่วยเรียกผู้บริหารหน่วยงานเหล่านี้มา(ตบกระบาลแล้ว)ปรับทัศนคติหน่อยก็ดี

คือสรยุทธ เขาโกง เขาคอร์รัปชันต่อหน่วยงานของรัฐนะครับ (ตามคำตัดสินของศาลชั้นต้นซึ่งถือว่ามีผลแล้ว) แต่เสือกยังมีหน่วยงานของรัฐไปลงโฆษณากับเขาอีก

ผมว่า เรื่องนี้ถ้าลุงตู่ยังปล่อยไว้อีก ลุงตู่เองก็ไม่ได้เรื่องล่ะครับ

------------------

คำทื่อท้ายบทความ

ถ้าในสังคมมีคนโกงมาก ก็ย่อมมีพวกปกป้องคนโกงมาก
คนที่ปกป้องคนโกง ก็ย่อมมีสันดานโกงเช่นกัน / ใหม่เมืองเอก



อัพเดท​ข่าวล่าสุด

3 มีนาคม 2559 เวลาประมาณ 16.30 น.

สรยุทธได้ประกาศยุติบทบาทหน้าจอแล้วอย่างไม่มีกำหนดแล้ว

คือ ถ้าไม่ถูกกระแสสังคมกดดัน ก็คงยังจะทู่ซี๊ทำรายการหน้าจอต่อไป

ถ้าแสดงสปิริตหยุดทันที ตั้งแต่หลังคำพิพากษา คุณก็จะจากไปอย่างสง่างามกว่านี้นะ คุณสรยุทธ

แล้วเมื่อผมดูจากสกู๊ปข่าวไทยพีบีเอสเมื่อเวลา 21.00 น.ที่ผ่านมา ได้รายงานว่า สาเหตุหลักที่สรยุทธจำใจต้องหยุดจัดรายการ ก็เพราะบรรดาโฆษณาของหน่วยงานทั้งของรัฐและของเอกชนเริ่มไม่ต่อสัญญาโฆษณากับทั้งบริษัทไร่ส้มและช่อง 3

สกู๊ปข่าวไทยพีบีเอส กับเหตุผลที่สรยุทธประกาศหยุดจัดรายการ


สรุปก็คือ สรยุทธต้องจำใจหยุด หาได้มีสปิริตและจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมไม่

คลิกอ่าน ถามหาจริยธรรมที่สูญเปล่าจากนายก่อศักดิ์ ซีพีออลล์