จากกรณีมีผู้หญิงคนนึงบอกว่า "การแต่งหน้าไม่ได้ขวางนิพพาน แต่สิ่งที่ขวางนิพพานคือ แต่งแล้ว หลงยึดรูปกายตนเอง"
แล้วก็มีพระที่ชื่อว่า พระไพรวัลย์ ออกมาโพสเฟสบุ็คแย้งคำดังกล่าวตามรูปนี้
ก่อนอื่นผมขอบอกก่อนว่า ผมไม่ได้มาแก้ต่างให้ใคร ผมแค่อธิบายในหลักการที่ถูกต้องในพุทธศาสนาเท่านั้น
----------------------------------------
บรรลุธรรม คืออะไร ?
การบรรลุธรรม หรือการบรรลุมรรคผล หมายถึง ผู้สำเร็จเป็นพระอริยะ อันได้แก่พระโสดาบัน เป็นอย่างน้อย
ซึ่งผู้ที่ได้รับการประกันรับรองว่า จะถึงพระนิพพานในอนาคตข้างหน้าแน่นอน ในระยะเวลาอย่างช้าไม่เกิน 7 ชาติ ก็คือ พระอริยะระดับล่างสุดคือ พระโสดาบัน นั่นเอง
ผู้สำเร็จเป็นพระโสดาบันนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นเพศสมณะ หรือเพศบรรพชิต เท่านั้น
แต่ผู้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ยังเป็นฆราวาสอยู่ก็ได้ และมีมากมายเสียด้วย
ซึ่งพระโสดาบันที่ยังเป็นฆราวาสนั้น ก็ยังต้องประกอบสัมมาอาชีพเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เลี้ยงครอบครัวของตนเอง
ตัวอย่างเช่น ถ้าพระโสดาบัน มีอาชีพเป็นศิลปิน นักแสดง หากต้องทำการแสดงเช่น ร้องเพลง เล่นลิเก หรือแสดงละคร แสดงหนัง ก็ย่อมต้องทำหน้าที่ไปตามบทบาทหน้าที่ที่ตัวเองได้รับต่อไปตามปกติ
ดังนั้น หากพระโสดาบัน จะต้องแต่งหน้าเพื่อทำหน้าที่ในอาชีพของตัวเอง จึงไม่ใช่เป็นเรื่องผิดแต่อย่างใด และไม่ใช่เรื่องกีดขวางทางแห่งพระนิพพานด้วย
เพราะถ้าหากการแต่งหน้าเป็นทางขวางพระนิพพานจริง ๆ ก็คงไม่มีฆราวาสผู้ประกอบสัมมาอาชีพสำเร็จพระโสดาบันได้หรอก
ดังเช่น นางวิสาขา สตรีในสมัยพุทธกาล เธอก็ยังแต่งหน้า แต่งองค์ทรงเครื่องประดับและอาภรณ์ต่าง ๆ อย่างอลังการ ทั้ง ๆ ที่เธอสำเร็จเป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ 7 ขวบ แถมยังแต่งงานครองเรือนได้ตามปกติ จนมีบุตรชาย 10 คน มีบุตรสาว 10 คน แม้เธอจะเป็นพระอริยะแล้วก็ตาม
นางวิสาขา
หรือแม้แต่พระสกิทาคามี ผู้ละสังโยชน์ใน กามราคะ ได้ ซึ่งก็คือ การละความเพลินในการได้เสพ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ ที่น่าพอใจลงแล้ว
หากพระสกิทาคามี ยังมีหน้าที่ประกอบสัมมาอาชีพที่ยังต้องแต่งหน้า ก็ยังสามารถกระทำได้ตามปกติ
(แต่โดยมากแล้วกุศลกรรมจะนำพาให้พระสกิทาคามีมีเหตุให้ได้ละสิ่งพวกนี้โดยไม่กระทบในอาชีพ)
เพราะหากใจไม่ยึดติดแล้ว ก็ย่อมไม่มีผลกระทบต่อทางนิพพานแต่อย่างใด ซึ่งผู้ที่เป็นพระอริยะแล้ว ย่อมไม่มีสิ่งใดมาขัดขวางการเข้าถึงพระนิพพานในอนาคตได้อย่างแน่นอน
เหมือนเช่น เวลามีคนถวายดอกไม้แด่พระพุทธเจ้า แม้พระพุทธเจ้าทรงรับดอกไม้นั้นไว้ แต่ถามว่า พระพุทธเจ้าทรงยึดติดในดอกไม้นั้นหรือไม่ ?
การยึดติดหรือไม่ยึดติดสิ่งใด ๆ นั้น เป็นสิ่งรู้ได้เฉพาะตน แม้พระโสดาบัน หรือพระสกิทาคามี เอง หากต้องทำหน้าที่ตามอาชีพของตัวเองในบางเรื่อง ก็ยังกระทำได้ โดยไม่กีดขวางทางนิพพานแต่อย่างใด
เพราะการบรรลุธรรมนั้นมีหลายระดับ ดังนั้นการแต่งหน้าของฆราวาสจึงไม่ใช่การกีดขวางทางนิพพานแต่อย่างใด
แต่เมื่อเป็นพระอริยะระดับที่สูงขึ้นไปก็จะค่อย ๆ ลดกิเลสลงได้ตามลำดับมากขึ้นเรื่อย ๆ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวข้องกับกิเลสก็จะลดลงเป็นไปตามกุศลธรรมที่จะช่วยอำนวยให้ได้ลดลงโดยไม่กระทบต่ออาชีพ
สรุปก็คือ พระมหาไพรวัลย์นั้นยังเป็นผู้มีอคติ จึงทำให้ความรู้ในธรรมของท่านเกิดความบกพร่อง จึงได้อธิบายในสิ่งที่ผิด ๆ ออกไป
---------------------
สำหรับในบทความนี้ ขออธิบายไว้คร่าว ๆ เป็เเบื้องต้นเท่านี้ก่อน ไว้บทความหน้าจะเขียนเรื่อง ฆราวาสบรรลุธรรม ให้ละเอียดชัดเจนและตรงประเด็นยิ่งขึ้นครับ
คลิกอ่าน ทัศนคติผู้หญิงจำนวนมากส่งเสริมให้ผู้ชายผิดศีล