จากกรณี ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช นามว่า สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือ สมเด็จช่วง แห่งวัดปากน้ำ โดนคดีรถเบนซ์หรูเถื่อน
ฝ่ายสนับสนุนสมเด็จช่วง มักพูดว่า แค่รถเก่า ๆ เท่านั้น ไม่ได้หรูเลย
นั่นเป็นความเชื่อที่ผิดมาก
เพราะที่จริงรถเบนซ์โบราณหรู ทะเบียน ขม.99 ของสมเด็จช่วง คันที่เป็นคดีตอนนี้ เป็นรถที่มีทั้งโลกแค่ 100 คันเท่านั้น ถือเป็นรถสะสมของบรรดาเศรษฐี มีราคาในท้องตลาดตั้งแต่ 10-20 ล้านบาทต่อคัน ตามคำแถลงของอธิบดี DSI ตามนี้
"รถคันดังกล่าวเป็นรถคลาสสิคเมอร์เซเดสเบนซ์รุ่น 300 บี ผลิตจากประเทศเยอรมันเมื่อปี ค.ศ.1953 อายุ 60 ปี ผลิตเพียง 100 คัน จัดอยู่ในประเภทรถคลาสสิค ทรงสวยงาม มีไว้เพื่อสะสม ราคา 10-20 ล้านบาท" อธิบดี DSI แถลง
ผมว่า ถ้าท่านช่วงบริสุทธิ์ใจจริง ๆ ว่าไม่ได้สะสมรถหรูเพื่อเป็นสมบัติส่วนตัว ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องใส่ชื่อตัวเองเป็นเจ้าของรถก็ได้ ถ้าใส่ชื่อมูลนิธิหลวงพ่อวัดปากน้ำ เป็นเจ้าของรถเสียตั้งแต่แรก ก็คงรอดตัวไปแล้ว ไม่ต้องมัวหมองแบบนี้
แล้วจากบทความเรื่อง เจ้าคุณแป๊ะได้เลื่อนสมณศักดิ์เร็ว เพราะถวายรถเบนซ์ให้สมเด็จช่วง
ทำให้ผมมานึก ๆ ดู ว่า มักเห็นพระอีกหลาย ๆ รูป เป็นผู้มาถวายของโบราณแก่สมเด็จช่วง ทำให้ผมนึกสงสัยว่า นี่จะเป็นการถวายของโปรดของสมเด็จช่วง เพื่อหวังลาภยศและหวังเลื่อนสมณศักดิ์เฉกเช่นหลวงพี่แป๊ะถวายรถเบนซ์หรือไม่ ?
แล้วขอถามสมเด็จช่วงว่า มันใช่กิจที่ภิกษุควรกระทำหรือไม่ กับการตั้งพิพิธภัณฑ์ของสะสมโบราณหรู ๆ ทั้งหลายน่ะ แล้วมาอ้างเหตุผลบังหน้าว่า เพื่อให้ประชาชนได้ดูได้ศึกษา ??
ผมว่า ไม่น่าจะใช่เพื่อให้ประชาชนได้ดูได้ศึกษาของโบราณหรู ๆ หรอกมั้ง
แต่ !! น่าจะเป็นกิเลสตัณหาของสมเด็จช่วงเองมากกว่า ที่อยากสะสม อยากโอ้อวด
แล้วที่ DSI อุตส่าห์เดินทางไปขอสอบปากคำสมเด็จช่วง กรณีรถเบนซ์เถื่อนถึงวัดปากน้ำ แต่สมเด็จช่วง กลับเล่นแง่ไม่ยอมตอบคำถามกับ DSI โดยดี
แถมยังให้ทนายความแส่มาสั่งให้ DSI ทำหนังสือคำถามส่งมาให้ที่วัด เพื่อจะให้สมเด็จช่วงตอบคำถามให้เป็นลายลักษณ์อักษรกลับไปนั้น
ซึ่งก็คงไม่ใช่สมเด็จช่วง จะตอบคำถามเองหรอก ก็คงให้ทนายความนั่นแหละตอบคำถามแทน
แต่มันใช่สิ่งที่ถูกต้องหรือที่สมเด็จช่วงจะมาทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชนอยู่เหนือกฎหมายกว่าคนทั่วไป ในการให้ปากคำกรณีรถเบนซ์เถื่อนของตัวเอง
ในเมื่อสมเด็จช่วงทำตัวหัวหมอมากนัก บิ๊กต๊อก พลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายารมว.ยุติธรรม ก็เลยบอกว่า ถ้าสมเด็จช่วงยังไม่ให้ความร่วมมือในการให้ปากคำโดยดี ก็อาจต้องออกหมายเรียก เพื่อเชิญท่านมาให้ปากคำ ซึ่งท่านช่วงจะให้ทนายความมาให้ปากคำแทนตนเองก็คงไม่ได้
แล้วถ้าสมเด็จช่วงยังดื้อแพ่งต่อหมายเรียกอีก ก็อาจถึงขั้น ต้องออกหมายจับสมเด็จช่วง
ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้พลพรรคขี้ข้าสมเด็จช่วง ก็ออกมาฮึ่ม! จะขอให้ปลด รมว.ยุติธรรม อีกคน หลังจากเคยทำซ่าเข้าชื่อขอให้ปลดผู้ตรวจการแผ่นดินไปคนนึงแล้ว
เหอะ ๆ สมเด็จช่วงแอนด์เดอะแก๊งค์ กำลังทำตัวเหนือกฎหมาย ใหญ่คับเมืองเลยนะนี่
ขนาดยังไม่ทันเป็นสมเด็จพระสังฆราช ยังกร่างขนาดนี้ ถ้าได้เป็นสมเด็จพระสังฆราชจริง ๆ ไม่รู้จะกร่างใหญ่คับประเทศขนาดไหน
เสื่อมจริง ๆ
ลองฟัง บิ๊กต๊อก พูดถึงว่า ตนเองเคยไปจาบจ้วงสมเด็จช่วงตรงไหน และพูดถึงกรณีสมเด็จช่วงเล่นแง่ไม่ยอมให้ปากคำ ครับ
ในสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามักจะทรงยกย่องภิกษุผู้ซึ่งเป็นเอตทัคคะ หรือหมายถึง ผู้ยอดเยี่ยมหรือเป็นผู้เลิศในทางใดทางหนึ่งเป็นพิเศษ จะเป็นรองแค่พระพุทธเจ้าเท่านั้น
อย่างเช่น พระพุทธเจ้าทรงยกย่องภิกษุณีกีสาโคตมีเถรี ว่าเป็นเลิศด้านทรงจีวรเศร้าหมอง ซึ่งหมายถึง นุ่งห่มจีวรเก่า ๆ สีซีด
ที่ผมยกตัวอย่างกรณีพระกีศาโคตมีเถรี นั้น ก็เพื่อจะบอกว่า พระพุทธเจ้าท่านทรงยกย่องภิกษุที่ทำตัวมักน้อย สมถะ
พระพุทธเจ้าไม่เคยทรงยกย่องภิกษุผู้มากด้วยกิเลส มีรสนิยมเลิศ นุ่งห่มจีวรหรูราคาแพง หรือสะสมทรัพย์สินมากมายก่ายกอง
ทำให้ผมนึกถึงหลวงปู่เจ้าคุณ พระมงคลทีปาจารย์ พระราชาคณะ เจ้าอาวาสวัดเเจ้ง อ.เกาะสมุย ที่ซึ่งมีจริยวัตรเรียบง่ายสมถะ แม้ท่านจะอายุ 90 ปีแล้ว แต่ก็ยังออกบิณฑบาตรทุกวันไม่ขาด แถมยังนุ่งจีวรเก่า ๆ จีวรเศร้าหมอง ตามรูปนี้ครับ
ส่วนสมเด็จช่วงน่ะเหรอ แค่กิเลสระดับพื้น ๆ ยังระงับไม่ได้ แล้วยังจะหวังจะเป็นพระราชาแห่งสงฆ์ อีกรึ ??
คลิกอ่าน สมเด็จมหารัชมังคลาจารย์ ผุ้ลุ่มหลงลาภสักการะสรรเสริญ
คลิกอ่าน เมื่อไพบูลย์ นิติตะวัน สอนมวยทนายความสมเด็จช่วง
คลิกอ่าน อย่าบำรุงพระจนเกินความพอดีของการเป็นภิกษุ