วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

เบิร์ด ธงไชย vs สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล คนปีเดียวกัน






ดูข่าว คอนเสิร์ตแบบเบิร์ดเบิร์ด ครั้งที่ 11   ที่เพิ่งแสดงไปเมื่อไม่กี่วันก่อน

เลยนึกถึง พี่เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ ว่า พี่เขาเกิดวันที่ 8 ธ.ค. 2501 ซึ่งจะครบอายุ 60 ปีอีกไม่กี่วันนี้แหละ

ขอให้พี่เบิร์ดสุขภาพดี หมั่นคอยดูแลและรักษาดวงใจ ให้แข็งแรงถึง 100 ปีครับ

พี่เบิร์ด รักในหลวง ร.9 พี่เบิร์ดทำงานเพื่อให้คนไทยทุกคนมีรอยยิ้มและมีความสุข



-----------

หงอกเจียม คนรุ่นเดียวกับพี่เบิร์ด 



เอ่อ... ในขณะที่ อาจารย์สมศักดิ์_เจียมธีรสกุล เกิดวันที่ 22 มิถุนายน 2501 (เกิดปีเดียวกับพี่เบิร์ด) มีอายุครบวัยเกษียณราชการไปแล้ว

แทนที่จะได้ใช้ชีวิตใน บ้านเราแสนสุขใจ อย่างสุขสบายในบั้นปลายชีวิต แต่กลับต้องไปทรมานนอนเจ็บป่วยไกลบ้านไกลเมือง เป็นผู้ป่วยอนาถาพลเมืองชั้น 3 ในประเทศฝรั่งเศส

ตลอดชีวิตแกทำงานที่มีแต่ความอคติ จงเกลียดจงชัง เขียนบทความที่ยุยงส่งเสริมให้คนไทยแตกแยกแตกความสามัคคีแทบทุกวัน

ถามว่า เหล่าสาวกตาสว่างแต่ใจบอด ของแก ได้ช่วยเหลือเจือจุนแกยามป่วยสักแค่ไหนบ้าง ?

ใจจริงผมเนี่ยไม่เคยนึกเกลียดอาจารย์เจียมเลยนะ แม้จะคิดต่างกับแกแบบสุดขั้วก็ตาม

ผมนับถือในความคิดความเห็นของแกหลายเรื่องเฉพาะที่ไม่เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ เพราะแกมีความคิดตรรกะที่จัดว่า เป็นคนเก่งมากคนนึงเลย

แต่ถ้าแกเขียนเรื่องสถาบัน ฯ เมื่อไหร่ เหมือนแกมีอคติมาก จนตรรกะแกเพี้ยน ๆ ในหลายครั้ง (ซึ่งผมก็นำมาเขียนบอกเล่าอยู่หลายหน)

เอาจริง ๆ นะ ใจผมน่ะ อยากให้ญาติ ๆ ของแกทำเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษต่อรัชกาลที่ 10 จะได้ไม่มีคดีติดตัว เพื่อขอกลับมารักษาตัวที่ไทยดีกว่า เพราะยังไง ๆ ที่ไหน ๆ ก็ไม่อบอุ่น และไม่สุขใจเหมือน บ้านเรา หรอก 😉

(ระดับแกเนี่ย ถ้าอยู่เมืองไทยจะได้นอนห้องพิเศษอย่างดีใน รพ.รัฐ ในฐานะข้าราชการระดับอาจารย์มหาลัย)

-----------

ปล. ซึ่งผมเขื่อว่าเหล่าสาวกของอาจารย์สมศักดิ์เจียม คงบอก ให้ อาจารย์นอนป่วยเอนจอนาถอนาถา ต่อไปที่นั่นดีกว่าจะเสียศักดิ์ศรียื่นขอพระราชทานอภัยโทษแหงๆ 555 😁😁

(ความจริงคดีม.112 ของแกยังเป็นแค่ผู้ถูกกล่าวหาเท่านั้น ยังไม่เคยขึ้นศาล)


ทางเลือกของคนวัยเดียวกันว่า จะเลือกทางทุกข์หรือทางสุข จะสร้างสรรค์หรือบ่อนทำลาย ก็ขึ้นกับการเลือกของตัวเอง

รูปพี่เบิร์ด กับ แต้ว ณฐพร


หมายเหตุ คดี ม.ธรรมศาสตร์ไล่ออกอาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นั้น

โดยในศาลชั้นต้น อาจารย์หงอกเจียมชนะคดี แต่ ม.ธรรมศาสตร์ ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อ ซึ่งมีสาวกและนักวิชาการที่ชื่นชอบอาจารย์สมศักดิ์หลายคน ได้พยายามเรียกร้องให้ ม.ธรรมศาสตร์ถอนอุทธรณ์คดีนี้เสีย

ฉะนั้น ในเวลานี้คดีไล่ออกอาจารย์หงอกเจียม ยังไม่จบ จึงต้องถือว่า อาจารย์สมศักดิ์เจียม ยังถือเป็นข้าราชการไทยอยู่เช่นเดิมครับ

คลิกอ่าน นาคี 2 หนังไทยเย้ยถิ่นเสื้อแดงอีสาน





วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ความรักความหลงของ แมท ภีรนีย์ ผู้สาวขาเลาะ






#คือความหลงหรือความรักของ แมท ภีรนีย์

ดูคลิปสัมภาษณ์ของ #แมท ภีรนีย์ ล่าสุด รู้สึกได้เลยว่า ตอนนี้เธอกำลังหลงผู้ชายคนนี้เอามาก ๆ แถมพูดปกป้องผู้ชายอย่างเต็มที่

เช่น แมท พูดว่า

เขาอาจไม่ดีกับคนอื่น แต่เขาดีกับเรา

ตอนนี้ยังไม่ใช่แฟน เพราะไม่รู้เขาจะยอมรับเรารึเปล่า

แค่ศึกษาดูใจกันอยู่ ถ้าอนาคตต้องเสียใจ ไว้ตอนนั้นค่อยมายำแมทได้เลย

ที่แมทเคยบอกว่า ไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว เพราะตอนนั้นไม่อยากให้มีปัญหาแบบตอนนี้

แมทเคยถามพี่เขาว่า รวยถึงหมื่นล้านรึเปล่า พี่เขาตอบว่า ไม่ (ถึง) แมทจึงไม่ได้จับคนรวยอย่างที่กล่าวหากัน

แมทเป็นสาวห้าวสาวแสบอยู่แล้ว แมทรู้สึก ณ ตอนนั้นว่า ถ้าพี่เขาจะหน้าด้านพอที่จะเข้ามา แมทก็ไม่สน เพราะแมทก็เป็นคนห้าวเป้งของแมทอยู่แล้ว แมทไม่ได้รู้สึกว่าแมททำผิด อีก

เป็นต้น

ตราบใดผู้ชายยังไม่หย่า ตราบนั้นเขาเรียกว่ามือที่ 3 นะจ้ะน้องแมท


------------------------
.
สำหรับผม ผมไม่ต่อว่า แมท แบบที่สังคมกำลังดราม่ากันอยู่หรอก

บางที แมท อาจกำลังเคว้ง เพราะเพิ่งจะเลิกกับแฟนที่คบกันมา 14 ปี แล้วเธอไม่เคยเจอ ผู้ชายไก่แจ้เจ้าชู้ตัวพ่อ ที่ช่ำชองแบบนี้มาก่อน

คิดง่าย ๆ นะ ผู้หญิงดี ๆ อย่างเมียเก่า เขายังหักหลังได้ หักหลังเรื่องอะไร ก็รู้ ๆ กันอยู่

ผู้ชายปากบอกจะไม่ยอมหย่ามา 2 ปี แต่พอเจอระดับนางเอกเหมือนกัน แถมสาวกว่า ไอ้ที่บอกว่า รักแท้กับเมียเก่า ก็รีบแจ้นไปขอหย่ากับเมียเก่าทันที

เหตุผลง่าย ๆ คือ ถ้าไม่หย่าเมียเก่า เดี๋ยวจะจีบสาวใหม่อย่างเต็มตัวไม่ได้ (แถมความเริ่มแตกแล้ว)

แล้วผู้ชายดี ๆ น่ะ เขาจะไม่รีบจีบคนใหม่หรอก ถ้ายังคาราคาซังยังไม่หย่ากับเมียเก่าให้เรียบร้อยก่อน เพราะมันจะทำให้ผู้หญิงคนใหม่เสียหายได้

ถ้าผู้ชายที่รักผู้หญิงจริง ๆ เขาจะไม่ยอมให้คนที่เขารักถูกครหานินทาได้ว่า แอบเป็นกิ๊ก หรือ แย่งผัวคนอื่นหรอก (แม้ความจริงอาจไม่ใช่ก็ตาม)

(กรณีนี้แมท ยังแค่ระดับน้อง ๆ ของกรณี #วีเจจ๋า รายนั้นเข้าข่ายแย่งชัดเจน)


กรณีของแมท ฝ่ายผู้ชายได้เข้ามาจีบแมทก่อนจะไปหย่ากับเมียเก่าร่วม 5 เดือน จนมีข่าวรั่วออกมา นักข่าวถึงไปไล่ถามทั้งคู่ว่า แอบซุ่มคบกันอยู่รึเปล่า ?

ที่ถูกที่ควรคือ มันต้องหย่าก่อน ถึงค่อยเริ่มต้นสานความสัมพันธ์ครั้งใหม่ ไม่ใช่ยังไม่ทันจะหย่า ก็รีบจีบก่อนแล้ว

เพราะตราบใดที่ยังไม่หย่า ตราบนั้นเขาเรียกว่า นอกใจ

ตอนงานวันหมั้นกับเมียเก่า ผู้ชายคนนี้เคยร้องไห้ขี้มูกโป่งต่อหน้าธารกำนัลทุกคนในงาน ว่า ดีใจที่เมียเก่ายอมแต่งงานด้วย สัญญาว่าจะดูแลและทำให้เธอมีความสุขตลอดไป แงแง 😭




----------------------

แมท ภีรนีย์ ผู้สาวขาเลาะ

"ซอมเบิ่งอยู่เด้อ ถ้าหากว่าเธอนั้นเลิกกันกับเขา เรื่องของสองเฮาสิเป็นไปได้บ่ 
บ่ได้เข้ามาเพื่อกดดัน แต่ว่าฉันนั้นแค่รอ ฟ้าวเลิกกันแหน่เถาะ ผู้สาวขาเลาะ อยากเป็นผู้สาวอ้าย ฮู้ เฮะ อา อา อา อา เอ้า ♪♩ "

ภาพงานแต่งของป๋อ ณัฐวุฒิ ที่ สงกรานต์ แอฟ และ แมท เคยไปร่วมงาน


----------

สิ่งที่ผู้คนเป็นห่วงแมท อาจไม่เกิดขึ้นเลยก็ได้

ถึงอย่างไรก็ตาม ผมก็ขออวยพรให้แมท เธอมีความสุขสมหวังเจอคนที่รักจริง ๆ  ไม่ติงนัง

แล้วขอให้เธอยังสามารถเก็บความบริสุทธิ์ไว้ได้จนถึงวันแต่งงานก็แล้วกันครับ 😁

--------------------

แอฟ ทักษอร เธอเข้มแข็งมาก 

สีหน้าของ แอฟ ทักษอร ขณะนั่งฟังข่าว อดีตสามี ยอมรับคบกับ แพท ภีรนีย์




ชมคลิป แพท ณปภา อ่านข่าว สงกรานต์ รับคบ แมท ภีรนีย์ โดยมี แอฟ ทักษอร ที่นั่งฟังอย่างสตรอง !!

เริ่มดูนาทีที่ 32.48 


คลิกอ่าน สงสัย วีเจจ๋า กับ แมทภีรนีย์ จะไม่รู้จักศีลข้อกาเม





วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ความลับของการสอบเข้า ป.1 โรงเรียนสาธิต







เรื่องการสอบเข้า ป.1 คือ ผมไปเห็นจากข่าวในเพจไทยพีบีเอส จาก รายการสามัญชนคนไทย โดยคุณมาโนช พุฒตาล ได้ไปสัมภาษณ์ นักวิชาการหญิงคนนึงที่ เธออยากให้ยกเลิกการสอบเข้า ป.1

เพราะเธอคิดว่า เด็กในวัยนี้ยังเล็กเกินไป ยังไม่ควรต้องมาเครียดกับเรื่อง(งี่เง่า) แบบนี้

ซึ่งตอนนี้มีร่าง พ.ร.บ. เด็กปฐมวัย ที่จะกำหนดห้ามให้มีการสอบเข้าอนุบาล ถึง ป.1 


ผมไม่แน่ใจว่า พวกนักวิชาการที่พยายามคัดค้านการสอบเข้า ป.1 เคยรู้ข้อเท็จจริงมากแค่ไหนว่า การสอบเข้า ป.1 ของเด็ก ๆ มันมีอะไรซ่อนเงื่อนมากกว่าที่นักวิชาการอ้าง 

เพราะดูเหมือนนักวิชาการที่สนับสนุน พ.ร.บ.เด็กปฐมวัย กำลังจะยิ่งช่วยเปิดช่องให้โรงเรียนดังหาผลประโยชน์ได้เพิ่มขึ้น เพราะนักวิชาการบอกว่า ให้เลิกการสอบเข้า ป.1 กับเด็ก ๆ แต่ให้มาสอบที่ตัวผู้ปกครองของเด็ก ๆ แทน



ผมเลยไปแสดงความเห็นที่เพจข่าวนั้นก่อนตามรูป ซึ่งก็มีคนเห็นด้วยกับความเห็นของผมพอควร

ก่อนที่ผมจะมาอธิบายละเอียดลงในเพจของผมอีกที ซึ่งผมได้ยกโพสนั้นมาเขียนลงในบทความนี้แล้ว

โพสความเห็นในเพจไทยพีบีเอสของผม




การสอบเข้าป.1 แท้จริง คืออะไร ?

นักวิชาการที่ต่อต้านการสอบเข้า ป.1 ของเด็ก ๆ กำลังหลงประเด็นทั้งหมด ขอบอก

เช่น โรงเรียนสาธิตฯ ที่รับเด็กป.1 ที่มีคนอยากให้ลูกเข้าเรียนที่นี่มากที่สุดแห่งนึง

ที่เขาจัดการสอบเด็ก เพื่อคัดเลือกเข้า ป.1 มันแค่พอเป็น #พิธีบังหน้า (มีผลต่อการคัดเด็กบ้างแต่ไม่ใช่ตัวแปรทั้งหมด)

ต่อมาโรงเรียนเขาจะดูประวัติพ่อแม่ก่อน คือเรียกพ่อแม่มาสัมภาษณ์

ถ้าพ่อแม่คนไหนไม่ถูกเรียกสัมภาษณ์ แปลว่า ลูกของคุณมีโอกาสสอบไม่ติดเกิน 70% เว้นแต่พ่อแม่บางอาชีพอาจไม่ถูกเรียกสัมภาษณ์ แต่เขาจะรับเด็กแน่นอน (อ่านเรื่องบางอาชีพพ่อแม่ต่อ ในช่วงตอบคำถามด้านล่างบทความ)

หลังจากนั้นแหละ ถึงจะประกาศผลสอบว่า เด็กคนไหนสอบติด

สรุปเลยนะ คือ  เขาคัดเด็กจากการดูพ่อแม่ว่า ทำงานอะไร หรือ รวยไหม เขาคัดเลือกกันตรงนี้ โดยไม่ต้องมีการเรียกค่าแป๊ะเจี๊ยะเลยด้วยซ้ำ

แต่โรงเรียนเขาหวังผลในระยะยาวว่า เขาต้องการครอบครัวที่สามารถซับพอร์ตนโยบายและทุกกิจกรรมของโรงเรียนได้อย่างสบาย ๆ โดยไม่เดือดร้อนต่างหาก
#ผลประโยชน์ของโรงเรียนมันอยู่ตรงนี้

ดังนั้น พ่อแม่ที่จะส่งลูกเข้าสอบคัดเลือกเข้า ป.1 ถ้าลูกสอบไม่ติด อย่าไปโทษลูก แต่ต้องโทษพ่อแม่เองว่า รวยพอหรือมีอาชีพที่มีเกียรติพอจะเข้าตาโรงเรียนหรือไม่ต่างหากครับ

ที่จริงมันก็คือ นโยบายคัดสรรสังคมชั้นสูง น่ะ ลองไปถามนักเรียนที่นั่นดูได้ว่า แต่ละคนมาจากครอบครัวร่ำรวยหรือพ่อแม่มีเงินเดือนสูง ๆ หรืออาชีพที่จะมีเกียรติสูงขึ้นภายภาคหน้า ทั้งนั้นแหละ

ความเท่าเทียมกันไม่มีจริง ๆ หรอก



วิธีที่ดีที่สุดของการรับนักเรียนเข้า ป.1 ก็คือ การจับสลากแบบเปิดเผยเท่านั้น จึงจะยุติธรรมที่สุด

แต่ถ้าให้พ่อแม่มาสอบแทนลูกได้ แบบนี้ยิ่ลเข้าทางคนรวยและ อ้อยเข้าปากช้าง จนท.บางคน
--------------------

ตอบคำถามท้ายบทความ

คุณผู้หญิงท่านนึง ถามผมว่า อาจจะไม่ใช่ความจริงทั้งหมดนะคะ เพราะลูกเรียนอยู่โรงเรียนสาธิตแถวบางเขนค่ะ ใช้เกณฑ์สอบเข้า โดยไม่ได้เรียก ผปค. เข้าไปสัมภาษณ์อะไรเลยค่ะ

ขอตอบว่า ใช่ครับมันไม่ได้เป็นตามที่ผมเล่า 100 % หรอก มันต้องเผื่อกันข้อครหาบ้าง

แต่ถ้าผู้ปกครองเป็นข้าราชการเช่น ชั้นสัญญาบัตร เป็นอาจารย์มหาลัย เป็นหมอ หรือ ทำงาน ปตท. การบินไทย การท่าอากาศยาน เป็นต้น บางทีเขาไม่ต้องเรียกพ่อแม่มาสัมภาษณ์ครับ เพราะอาชีพมันชัดเจน เขาเอาเด็กเข้าเลย


มีคุณผู้ชายท่านนึง ถามผมว่า นักวิชาการต่อต้านความเท่าเทียมหรือครับ มีลิ้งค์ไหม ผมว่าไม่น่าใช่ น่าจะเป็นเรื่องความพร้อมของเด็กมากกว่า


ขอตอบว่า ที่เขาคัดเด็กเก่งจริง ๆ ไว้เขาก็พิจารณาครับ แต่ถ้าเด็กเก่งเท่า ๆ กันหลายคน เขาจะคัดที่ครอบครัวเป็นตัวแปรต่อมา

แน่นอน เขาต้องมีคัดเอาเด็กเก่งแท้ ๆ ครอบครัวปานกลางเข้าไปบ้าง เพราะเขาก็ต้องทำให้ทุกอย่างมันเนียนด้วย กันข้อครหา เพราะเด็กเก่ง ๆ มันก็มีผลต่อการช่วยเด็กคนอื่น ๆ ทางอ้อม เขาก็อยากให้สังคมเขาโดยรวมฉลาดขึ้นด้วยครับ


คุณผู้หญิงอีกท่านนึง ถามผมว่า เดี๋ยวนี้ลูกคนรวยเขาเรียนโรงเรียนอินเตอร์กันหมดแล้ว เช่นลูกดาราแต่ละคนเรียนโรงเรียนอินเตอร์กันทั้งนั้น

ขอตอบว่า ถ้าแค่รวยอย่างเดียว บางคนเขาก็ไม่อยากให้ลูกต้องไปแย่งชิงแข่งขัน เขาก็มักส่งเข้าอินเตอร์ แต่ที่เขาเลือกสาธิต ซึ่งภาคปกติเข้ายากกว่า สาธิตภาคอินเตอร์ เพราะเขาต้องการเข้าสังคมและต่อลู่ทางเส้นสายให้ยาวขึ้น ที่โรงเรียนสาธิตก็มีภาคอินเตอร์แถมแพงมากด้วยครับ สามารถเลือกภาคอินเตอร์ได้ตั้งแต่ ป.1 ก็ได้ หรือไปเลือกตอนชั้นโตกว่านี้ก็ได้ คนรวยจริง ๆ หลายครอบครัว เขามักจะคิดว่า เรื่องภาษาไว้จบ ม.3 ม.6 ค่อยส่งลูกไปเรียนเมืองนอกก็ได้ หรือจะส่งเรียนภาษาในปิดภาคฤดูร้อนที่ ตปท.ก็ได้ แต่ตอนนี้อยากลูกต้องมีคอนเนคชั่นกับสังคมชั้นสูงของครอบครัวเพื่อน ๆ ก่อน





วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2561

โขน เป็นของไทย ไม่ใช่ของ กัมพูชา







ปฐมกษัตริย์กัมพูชาถูกแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ไทย

หากผมใช้คำว่า สันดานเขมร ผมเฉพาะเจาะจงไปที่ท่าทีของผู้ปกครองรัฐเขมรเป็นหลัก ไม่ได้เหมารวมว่า คนเขมรทุกคนต้องเป็นเช่นนั้น

เหมือนที่บางคนมักบอกว่า คนไทยไร้ระเบียบวินัย ก็ไม่ได้แปลว่า คนไทยทุกคนจะเป็นเช่นนั้น (แต่จำนวนมากก็มักจะเป็นเช่นนั้น)

กรณี #โขน แม้แต่พม่าและลาว เขาก็ยอมรับว่า เขาได้รับอิทธิพลมาจากโขนไทย

ส่วน เขมร เคยเป็นเมืองขึ้นเมืองประเทศราชของราชอาณาจักรของไทยมานาน ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยามาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์

อาณาจักรเขมร ต้องส่งเจ้านายชั้นสูงมาเป็นองค์ประกันในไทย เจ้านายเขมรก็เลยได้เล่าเรียนและได้รับอิทธิพลจากศิลปวัฒนธรรมของไทยไปเยอะมาก แล้วก็นำกลับไปเผยแพร่ที่เขมร เช่น โขนไทย

โดยเฉพาะ พระองค์ด้วง ปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรกัมพูชาสมัยใหม่ เคยหนีภัยมาประทับในกรุงรัตนโกสินทร์ในสมัยรัชกาลที่ 2 เมื่อตอนอายุ 16 ปี และพำนักในไทยอยู่นานถึง 27 ปี ก่อนจะกลับไปครองราชย์

โดยพระองค์ด้วง ได้รับการช่วยเหลือจากกองทัพแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เป็นแม่ทัพ ได้ช่วยยกทัพไปปราบญวณที่เข้ามายึดครองอาณาจักรเขมรจนสำเร็จ

แล้วพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า ฯ รัชกาลที่ 3 ทรงสถาปนาราชาภิเษกแก่พระองค์ด้วง ให้ขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรกัมพูชา(เดิมชื่ออาณาจักรเขมร) พระนามว่า สมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี ตามที่รัชกาลที่ 3 เคยมีพระบรมราชโองการที่ว่า

"หากเขมรสงบเรียบร้อยเมื่อใดให้อภิเษกพระองค์ด้วงขึ้นครองเขมร"

เมื่อเจ้านายชั้นสูงของเขมรได้นำโขนไทยเราไปเผยแพร่และทำการแสดงในเขมรต่อ โดยได้ถอดรูปแบบการแสดงโขนของไทยไปมากยิ่งกว่าพม่า หรือลาว เคยนำไป

เพราะรูปแบบการแสดงและเนื้อเรื่องโขนในเขมรใกล้เคียงโขนไทยมาก โดยลอกจากบทพระราชนิพนธ์ เรื่องรามเกียรติ์ ใน ร.2 ไปทั้งดุ้น

แม้แต่ พระบรมราชวังจตุมุขสิริมงคล (พระราชวังเขมรินทร์) โดยกษัตริย์องค์ที่ 2 แห่งอาณาจักรกัมพูชา พระนามว่า พระบาทสมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร ทรงเป็นพระราชโอรสของพระองค์ด้วง ซึ่งเคยมาพำนักและบวชในไทยในสมัยรัชกาลที่ 3 และที่ 4 ก็ลอกไปสร้างตามแบบพระบรมมหาราชวังของไทย (วัดพระแก้ว)

โดยเฉพาะกษัตริย์กัมพูชาพระองค์ที่ 2 นี้ ก่อนขึ้นครองราชย์ เคยมีปัญหาแย่งชิงราชสมบัติกับพี่น้อง แต่รัชกาลที่ 4 ของไทยทรงช่วยจัดการปัญหาการแย่งชิงราชบัลลังค์ให้ แล้ว ร.4 ยังทรงช่วยจัดพิธีราชาภิเษกครองราชย์ให้อีกด้วย


พระบาทสมเด็จพระนโรดมพรหมบริรักษ์ แห่งกัมพูชา (ព្រះបាទនរោត្តម) ขณะประกอบพระราชพิธีราชาภิเษก ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร


กล่าวโดยสรุป กษัตริย์แห่งกัมพูชาทั้ง 2 พระองค์แรกของราชวงศ์ ได้รับการราชาภิเษกให้ขึ้นเป็นกษัตริย์กัมพูชาโดยพระมหากษัตริย์ไทย

ซึ่งกษัตริย์กัมพูชาทั้งสองพระองค์ก็เคยก้มกราบพระบาทของพระมหากษัตริย์ไทยคือ ร.3 และ ร.4 ก่อนขึ้นครองราชย์ทั้งสิ้น และแม้แต่กษัตริย์องค์ที่ 2 ก็เคยหนีภัยฝรั่งเศสรุกรานมาสวรรคตที่กรุงเทพเช่นกัน

ซึ่งกษัตริย์กัมพูชาทั้งสองพระองค์นี้ ก็ได้นำศิลปะการแสดงโขนของไทยเรื่องรามเกียรติ์ในรัชกาลที่ 2 ไปเผยแพร่ต่อในกัมพูชาจนวันนี้


ประเด็นคือ ชาติอื่น ๆ ที่เขาเคยรับอิทธิพลจากโขนไทยไปดัดแปลงแสดงเล่นต่อในประเทศของเขา เขาก็ยอมรับว่า ได้รับมาจากไทย

แต่มันมีอยู่ชาติเดียวที่หน้าด้านจอมขี้ตู่ ที่แม่งจะตู่เอาโขนไทยไปเป็นของตัวเอง ว่ามันคิดค้น ชาตินั้นก็คือ ชาติของพระยาละแวกผู้ชอบแว้งกัดไทย นั่นเอง



---------------------

เพราะ โขน เป็นของชาวสยาม

กรณีไทยจะขอขึ้นทะเบียน #โขน เป็น #มรดกโลก นั้น

กัมพูชา ก็รีบออกมาคัดค้าน โดยอ้างว่า โขน เป็นของกัมพูชา ไม่ใช่ของไทย

ส่วนนายสุจิตต์ วงศ์เทศ นักเขียนนักประวัติศาสตร์ไทยแนวเดียวกับ นายนิธิ เอียวศรีวงศ์ นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ ก็รีบออกมารับลูกเขมร บอกว่า โขนไม่ใช่ของไทย แต่เป็นศิลปะร่วมกันในแถบนี้ โดยมีหลักฐานพบว่า โขน เริ่มมีมาใน เสียมเรียบ ตั้งแต่ยุคสมัยขอมโบราณ


ผมจะเล่าให้ฟังสั้น ๆ หลังเขมรแตกยุคเขมรแดง และหลังเวียดนามบุกยึดกัมพูชา จนคนเขมรต้องอพยพหนีสงครามมาอาศัยพึ่งพิงบนแผ่นดินไทย ในตอนนั้นศิลปวัฒนธรรมด้านการแสดงของเขมรเองก็แทบสูญสิ้น

จนต่อมากัมพูชาผ่านพ้นสงครามกลับมาฟื้นฟูประเทศอีกครั้ง ไทยเรายังส่งผู้เชี่ยวชาญด้านการศิลปะแสดงแขนงต่าง ๆ จาก กรมศิลปากร ที่พอจะมีความรู้เกี่ยวกับศิลปะเขมรได้ช่วยกลับไปสอนคนเขมรด้วยซ้ำ ทั้งดนตรี ทั้งการร่ายรำ และโขน

สันดานเขมร นั้นกี่ปี ๆ ก็ชอบแว้งกัดไทยได้ทั้งชาติ เหมือนกรณีไทยเคยบริจาคอาวุธปืนให้กองทัพกัมพูชาไปใช้ ในสมัยกษัตริย์กัมพูชาพระองค์ที่ 4 สมเด็จนโรดม สีหนุ
แต่ทหารกัมพูชากลับเอามายิงไทยแล้วอ้างยึดเขาพระวิหารเป็นของเขมร

เฮ่อ.. เห็นรึยังสันดานเขมรคบไม่ได้ ประเทศไทยถึงยังต้องมีการเกณฑ์ทหาร ไปตลอดชาตินั่นแหละ

ผมขอย้ำอีกครั้งว่า ความจริงแล้ว คนไทยหรือชาวสยามคือคนสร้างนครวัด ครับ

เพราะ เสียม (Siam) แปลว่า สยาม (Siam)
ในยุคโบราณชาวสยาม เคยอาศัยใน เสียมราฐ มาก่อน

คนไทยเราเรียก จังหวัดเสียมราฐ แต่เขมรมันเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "เสียมเรียบ"

ที่เหลืออ่านต่อในบทความตามลิงค์ด้านล่างนี้ ซึ่งไล่ให้ดูให้เห็นอย่างง่าย ๆ กว่าชาวสยามจะมาเป็นไทยในวันนี้

คลิกอ่าน ขอมไม่ใช่เขมร ชาวสยามคือผู้สร้างนครวัดนครธม





วันพุธที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2561

คืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้บัตรคนจนคือแนวคิดห่วยแตก







การเสียภาษี เป็นหน้าที่ของประชาชนทุกคน

แน่นอน คนยากจนรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ ก็ได้รับการยกเว้น การเสียภาษีเงินได้ประจำปี

หรือคนที่ทำอาชีพบางประเภทก็ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ประจำปี เพราะตรวจสอบไม่ได้ หรืออาจได้รับการยกเว้น

แต่อย่างน้อย ทุกคนควรเสียภาษีโดยตรงผ่านการซื้อของ นั่นคือ การเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม

แต่รัฐบาล คสช. โดยรมว.คลัง กำลังจะมีแนวคิดทำลายหน้าที่ของประชาชน คือ จะยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับคนที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (หรือบัตรคนจน) ใช้ซื้อของผ่านบัตร โดยจะคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้คนถือบัตรคนจนในภายหลัง ปีละไม่เกิน 7 พันบาท (โดย 7 พันบาทคิดมาจาก 7 % ของฐานรายได้คนยากจนที่ต้องมีรายได้ไม่เกินปีละ 1 แสนบาท)

อ่านข่าวคืน vat ให้บัตรคนจน
https://www.innnews.co.th/economy/news_150148/

คือนอกเหนือจากที่รัฐบาลจะให้เงินฟรี ๆ เดือนละ 300 บาทในบัตรคนจนแล้ว ถ้าใครเติมเงินเข้าบัตรคนจน แล้วนำบัตรคนจนไปซื้อของ ก็จะได้รับการคืนภาษี vat ในภายหลัง

สรุปคือ นี่มันเป็นนโยบายส่งเสริมคนให้เอาเปรียบประเทศชาติมากขึ้น คือได้เงินฟรี ๆ ในบัตรจากรัฐเดือนละ 300 บาทแล้วยังไม่พอ ยังจะไม่ต้องจ่ายภาษี vat อีก

ใครคิดและทำแนวคิดเรื่องนี้จนสำเร็จ คุณจะเป็นผู้ทำลายชาติแท้จริง

นี่บอกตรงถ้ารัฐบาล คสช. ทำเรื่องยกเว้น vat ให้คนใช้บัตรคนจน จนออกมาสำเร็จจริง ๆ

ผมว่า นี่จะเป็นนโยบายที่เลวร้ายกว่าประชานิยมของพรรคการเมืองอีก เพราะส่งเสริมให้คนไทยละเว้นหน้าที่

เพราะรัฐบาลที่ดีควรสอนให้ประชาชนรู้จักหน้าที่และรับผิดชอบต่อสังคม

--------------



ช่องโหว่ของการขึ้นทะเบียนเป็นคนยากจน คืออะไร ?

ก็คือ แค่คุณทำอาชีพที่ตรวจสอบรายได้แน่นอนไม่ได้ เช่น อาชีพอิสระต่าง ๆ และคุณมีเงินฝากในธนาคารไม่ถึง 1 แสนบาท (รวมทั้งพันธบัตรรัฐบาล สลากออมสิน หรือ สลาก ธกส.)

คุณก็ไปขอขึ้นทะเบียนสิทธิเป็นคนยากจน ขอรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ บัตรคนจนได้แล้ว

ทั้ง ๆ ที่หลายคนมีรายได้สูงกว่าพนักงานในบริษัทหรือข้าราชการด้วยซ้ำ แค่ไม่ฝากเงินในธนาคารเกิน 1 แสนบาทเท่านั้นให้รัฐบาลเขารู้ รัฐบาลก็ไม่สนแล้วว่า คุณยากจนจริงไหม

แม้รัฐบาลเขาว่าจะตรวจสอบทรัพย์สินอื่น ๆ ด้วย เช่น ต้องมีบ้านต้องไม่เกิน 25 ตร.ว. หรือ มีห้องชุดไม่เกิน 35 ตร.ม. หรือมีที่ดินเพื่อการเกษตรไม่เกิน 10 ไร่เป็นต้น แต่กว่ารัฐจะตรวจสอบเจอ ก็เป็นช่องโหว่สำหรับหลายคนได้อีกนาน

แถมหลายคนมีบ้านเล็กแต่มีรายได้เกิน 1 แสนบาทต่อปี เพราะการตรวจสอบยาก ก็จะได้รับสิทธิบัตรคนจนนี้ไปสบาย ๆ เอาเปรียบคนที่เขาเสียภาษีเงินได้ประจำปีแต่รายได้น้อยกว่าหลายคนที่ถือบัตรคนจนด้วยซ้ำ

คุณถึงเคยได้เห็นข่าวที่มี คนใช้ชีวิตหรูหรา กินอาหารแพง ๆ โพสอวดในโซเชียล แต่กลับมีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยถูกต้อง

นี่แหละที่ทำให้งบประมาณบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ชื่อบัตรดูดีมาก แต่กลับเป็นช่องทางรั่วไหลของงบประมาณชาติไปสู่ คนอยากจน ถือเป็นการทำลายชาติมากกว่าจะช่วยคนยากจนจริง ๆ

ทั้งที่ควรจะนำงบประมาณชาติตรงนี้ไปสร้างโรงพยาบาลรัฐดี ๆ มีอุปกรณ์ทางการแพทย์ดี ๆ ให้ประชาชนทั้งประเทศซึ่งจะเกิดประโยชน์มากกว่า เป็นต้น

ผมถึงบอกว่า นโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไม่ใช่นโยบายรัฐสวัสดิการ

แต่บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คือ นโยบายประชานิยมที่ห่วยที่สุดของ คสช.



หน้า 1 กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 13 ส.ค. 2561 ที่ผ่านมา

-----------------

สรุป รัฐบาล คสช. พยายามจะแก้ตัวแถ ๆ ว่า บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ไม่ใช่นโยบายประชานิยม แต่ความจริงคือ ประชานิยมชัดเจน

แม้จะพยายามตั้งชื่อให้มีคำว่า สวัสดิการ ในชื่อบัตรก็ตาม

ที่ถูกที่ควร คือ รัฐบาลควรทำนโยบายรัฐสวัสดิการของแท้ ด้วยการส่งเสริมให้ประชาชนจ่ายภาษี

แล้วนำภาษีมาจัดทำนโยบายรัฐสวัสดิการให้ดีขึ้น แต่นี่กลับจะยกเว้นภาษี แล้วยิ่งทำประชานิยมมากชึ้น

"จงอย่าถามว่าจะทำอะไรให้ประเทศชาติบ้าง แต่จงถามว่า กูจะเอาอะไรฟรี ๆ จากประเทศนี้ได้บ้าง" นี่แหละครับ คำขวัญของประชานิยม

คลิกอ่าน ประชานิยม แตกต่างจาก รัฐสวัสดิการ อย่างไร





วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

หญิงใหญ่ กับ ชายเหลี่ยม ดูฟุตบอลโลก









หญิงใหญ่ กับ ชายเหลี่ยม

ประเด็นนี้ธรรมดามากนะครับ คือ มันไม่มีอะไรในกอไผ่หรอก

คือ เธอพยายามวางตัวเป็นกลางและชอบเที่ยวฟรีทานฟรี อย่างหรู ก็เท่านั้น

คือตั้งแต่ปลายปี 2559 เรื่อยมา เธอไม่สามารถเบิกอะไรง่าย ๆ ได้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว นี่จึงเป็นสาเหตุ

ส่วนเรื่องมันสมองอัจฉริยะด้านวิชาการ เธอเก่งที่สุดในบรรดาพี่น้อง แต่ถ้าเรื่องความฉลาดด้านอื่น ๆ เธอไม่เก่งนัก
.
ส่วนชายเหลี่ยม พยายามจะสร้างภาพว่า ยังภักดี มันก็เท่ากับวินวินทั้งสองฝ่าย ผลประโยชน์ลงตัว

หลังงานพิธีใหญ่ที่กำลังจะมาถึง จะมีการปรับเปลี่ยนชื่อและยศถาบรรดาศักดิ์กันใหม่

บางทีความอยากกินฟรีเที่ยวฟรีอย่างหรู อาจสะเทือนไปถึงการที่จะไม่ได้รับการเลื่อนชั้นในฤดูกาลใหม่ก็ได้นะ

ก็อาจต้องเป็นศาลเจ้าข้างทาง ไปตลอดชีวิต คือ ถ้าเธอคิดเป็นจริง ๆ ตั้งแต่แรก ชีวิตเธอในวันนี้คงไม่อยู่จุดนี้หรอก

ที่เธอยังอยู่ในวันนี้อย่างสุขสบายได้ เพราะพี่น้องเขายังรักกันดี และคนไทยยังให้เกียรติ เพราะรักพ่อของเธอ ในขณะที่ตัวเธอเคยทำให้พ่อต้องเสียใจ

ต่อไปถ้ามีอะไรที่มันเกินเลยไปกว่านี้ ก็อาจถูกปรับตกชั้นก็ได้นะ ขอบอก

เพราะยังเชื่อว่า เธอไม่โง่

สถานการณ์ตอนนี้ เสมือนต่างฝ่ายต่างหลอกใช้ซึ่งกันและกัน ก็เท่านั้น

จะคบคนพาลต้องหลอกใช้ด้วยผลประโยชน์

#ทูลกระหม่อม , ทักษิณ





วันพุธที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2561

เจตนาการเกณฑ์ทหาร คือ ไม่อยากให้ทุกคนต้องเป็นทหาร






แม้ในกฎหมายของไทย (พ.ร.บ.รับราชการทหาร 2497) จะกำหนดไว้ว่า "ชายที่มีสัญชาติไทยตามกฎหมาย มีหน้าที่รับราชการทหารด้วยตนเองทุกคน"

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ชายไทยส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เป็นทหาร จริงไหม ?

หากประเทศไทยต้องการให้ชายไทยทุกคนต้องเป็นทหารจริง ๆ โดยเฉพาะ การเป็นพลทหาร 

กฎหมายไทยก็คงบังคับให้ผู้ชายไทยที่มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ต้องเป็นทหารทุกคนเหมือนที่ประเทศเกาหลีใต้เขาบังคับในกฎหมายไปแล้ว

แต่ความจริงประเทศไทยไม่ได้ต้องการให้ชายไทยทุกคนต้องเป็นทหารจริง ๆ หรอก กฎหมายไทยจึงมีทางเลือกให้ได้เลือก เช่น ถ้าชายไทยคนใดเรียนหลักสูตรนักศึกษาวิชาทหาร หรือเรียน รด. จบปี 3 ก็ไม่ต้องมาเป็นทหารเกณฑ์แล้ว

เหตุเพราะประเทศไทยต้องการแค่ให้ผู้ชายไทยทุกคนได้เรียนรู้วิชาทหารไว้บ้างตามสมควร เพราะรอบแผ่นดินไทย หามีประเทศเพื่อนบ้านประเทศใดน่าไว้ใจได้เลย จริงไหม ?

และโดยหลักสากลของทุกประเทศ ก็ย่อมไม่ไว้ใจชาติอื่นใดให้มากจนเกินไปทั้งสิ้น

กฎหมายไทยจึงได้กำหนดว่า ชายไทยทุกคนต้องเข้ารับการคัดเลือกทหาร เว้นแต่ได้ทำตามทางเลือกอื่น ๆ เช่น ให้คนที่ไม่อยากเป็นทหารเกณฑ์ต้องไปเรียนนักศึกษาวิชาทหาร หรือ รด. แทน

ผมบอกได้เลยว่า ถ้าประเทศไทยยกเลิกเกณฑ์ทหารเมื่อไหร่ เชื่อไหม วันนั้นก็แทบจะไม่มีใครไปสมัครเรียนสมัคร รด. หรอก

เพราะสันดานเด็กไทยสมัยนี้รักสบาย ไม่ชอบลำบาก และไม่ชอบอยู่ในกฎระเบียบวินัย อันเป็นสันดานประจำคนไทยมานานแล้ว

เมื่อไม่บังคับให้ต้องเป็นทหาร ก็คงแทบไม่มีใครอยากไปสมัครเรียน รด. เพราะจะถูกบังคับให้ตัดผมสั้น โดยเฉพาะวัยรุ่นอายุ 15-18 ปี โดยมากมักคิดเช่นนั้นคือ ถูกตัดผมสั้นมันไม่เท่

การเกณฑ์ทหาร จึงเป็นเพียงกุศโลบายอย่างหนึ่งที่บีบให้ผู้ชายไทยต้องไปศึกษาวิชาทหารโดยอ้อมแทน

และแม้ใครจะไม่เรียน รด. ก็ยังไม่ต้องเป็นทหารทันที แต่ยังมีสิทธิจับใบดำใบแดงก่อน ซึ่งใบแดงจะมีไม่ถึง 30 % หรือไม่ถึง 1 ใน 3 ของจำนวนใบทั้งหมดเท่านั้น

นี่แหละความดีเลิศของการเกณฑ์ทหารแบบไทย ๆ อะลุ่มอะล่วยแบบสุด ๆ แล้ว

ถ้าสามารถบังคับให้นักเรียนชายไทยเรียน รด. ได้ทุกคน การเกณฑ์ทหารก็ย่อมไม่จำเป็นอีก

-----------------

ประเทศที่มีคนชอบละเมิดกฎระเบียบมากที่สุดในโลก จนถึงขนาดที่เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนมากที่สุดในโลก ตายจากอุบัติเหตุบนถนนมากที่สุดในโลก ก็สะท้อนอยู่แล้วว่า คนไทยไม่ชอบทำตามกฎระเบียบวินัยและกฎหมาย

ยิ่งถ้ายกเลิกการเกณฑ์ทหาร ผมรับรองได้เลยว่า ประเทศไทยจะขาดกำลังพลที่จะมาช่วยเหลือประชาชนในด้านต่าง ๆ แน่นอน

ตัวอย่างเช่น อุทกภัยในปี 2554 หากไม่มีเหล่าทหารเกณฑ์แล้ว ประชาชนจะยิ่งเดือดร้อนแสนสาหัสกว่านั้นอีกหลายเท่า เชื่อไหม ?


รูปจากกรุงเทพธุรกิจ

การเกณฑ์ทหารได้ช่วยทำให้ไม่ว่าจะลูกเศรษฐี หรือดาราดัง ๆ ที่มีรายได้เดือนละเป็นล้านบาท ก็ต้องมารับใช้ชาติด้วยการเป็นทหาร เฉกเช่นลูกคนจน ลูกชาวบ้านทั่วไป

นี่แหละคือความเท่าเทียมกันอย่างหนึ่ง

แต่หากไม่มีการเกณฑ์ทหาร รับรองได้เลยว่า คงจะมีแต่ลูกคนจนที่ตกงานมาสมัครเป็นทหารเกณฑ์เท่านั้น

แล้วลูกคนรวยนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ยากมากที่คนรวยเขาจะให้ลูกชายมาสมัครเป็นทหารให้ลำบาก อีกทั้งบางคนอาจเสียดายเสียรายได้หลายล้านในช่วงการเป็นทหารด้วย จึงเชื่อว่า

ถ้ายกเลิกการเกณฑ์ทหารเมื่อไหร่ เมื่อนั้นคงมีแต่คนยากจนเท่านั้นที่จะมาสมัครเป็นพลทหาร



แล้วกรุณาอย่าเอาบรรทัดฐานของต่างประเทศที่ยกเลิกการเกณฑ์ทหารแล้วมาใช้กับสันดานคนไทยครับ

ประเทศไทยนี่แหละที่ไม่เหมือนชาติใดในโลก ที่ทำเอาฝรั่งยังงงเป็นไก่ตาแตกมาแล้วหลายเรื่อง

----------------

ทุกวันนี้ สังคมไทยเหลวแหลกลงมาก แถมจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมยิ่งน้อยลง ๆ ดังเช่นพฤติกรรมหมาหมู่ ความไม่เป็นลูกผู้ชาย มีให้พบเห็นมากขึ้นทุกวัน

ถึงขนาดยกพวกตามไปทำร้ายคนอื่นได้ถึงในโรงพยาบาล พฤติกรรมเยี่ยงนี้ จัดเป็น พฤติกรรมหน้าตัวเมียทั้งสิ้น

ผมไม่ได้บอกว่า ผู้ชายที่เป็นทหารเกณฑ์แล้วจะกลายเป็นคนดีได้ทุกคนนะครับ แต่เมื่อได้เป็นทหารเกณฑ์แล้ว ทหารเกณฑ์มักได้รับมอบหมายให้ไปช่วยเหลือประชาชนในเรื่องต่าง ๆ อยู่เสมอ

การที่ได้ไปช่วยเหลือคนอื่นเสมอโดยที่ไม่ได้รับผลตอบแทน แบบที่ทหารเกณฑ์มักได้กระทำจากการปฏิบัติหน้าที่นี่แหละ ที่เป็นตัวกล่อมเกลาจิตใจให้เขามีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น และจะบ่มเพาะความเป็นลูกผู้ชายมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ผมกล้าพูดได้ว่า ชายไทยที่ได้ผ่านการเป็นทหารเกณฑ์แล้ว ส่วนใหญ่มีนิสัยดีขึ้น มีความรับผิดชอบในหน้าที่ดีขึ้น ซึ่งผมเห็นกรณีตัวอย่างมาแล้วหลายราย

จากที่เห็นสันดานวัยรุ่นไทยที่นับวันยิ่งแย่ลงทุกวัน เพราะพ่อแม่สมัยนี้สอนลูกไม่เป็น ปล่อยให้ลูกออกไปสร้างความเดือดร้อนให้สังคมมากขึ้นทุกวัน

ก็ลองส่งลูกไปให้กองทัพอบรมแทนดูสิครับ

------------------------

อย่ามองว่า การเกณฑ์ทหาร คือ การถูกบังคับให้มารับใช้ชาติเพียงอย่างเดียว แต่ควรมองให้ใหม่ว่า เป็นการสอนคนการฝึกคนอย่างหนึ่ง

แต่ที่ผ่านมา ที่ภาพลักษณ์กองทัพไทยดูแย่ เพราะมักมีเหลือบไรในกองทัพที่ทำลายภาพลักษณ์ของทหารแทบทุกปี

หากกองทัพไทยไม่หาทางเปลี่ยนทัศนะคติคนไทยให้มองการเกณฑ์ทหารให้ดีขึ้น ให้เหมือนเช่นที่พ่อแม่มักอยากให้ลูกได้บวชเรียน

คำครหาและการต่อต้านการเกณฑ์ทหารก็จะมีอยู่ทุกปีและจะมากขึ้นทุกวัน

ประเทศไทยที่มีคนไทยสันดานไม่ชอบระเบียบวินัย ผมมั่นใจว่า หากยิ่งตามใจคนไทยในเรื่องยกเลิกการเกณฑ์ทหาร รับรองสังคมไทยยิ่งเละครับ

เหตุเพราะผู้ชายไทยส่วนใหญ่ยังไม่เคยผ่านการเป็นทหารเกณฑ์นี่แหละ 

พลทหาร คือ กำลังพลที่ยศต่ำที่สุดในกองทัพ แต่กลับเป็นทหารที่ทำหน้าที่สูงส่งที่สุด

คลิกอ่าน เหตุผลที่ไม่ควรยกเลิกการเกณฑ์ทหารของไทย





วันอาทิตย์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ความเขลาพระมหาไพรวัลย์ กรณีการแต่งหน้าขวางนิพพาน?







จากกรณีมีผู้หญิงคนนึงบอกว่า "การแต่งหน้าไม่ได้ขวางนิพพาน แต่สิ่งที่ขวางนิพพานคือ แต่งแล้ว หลงยึดรูปกายตนเอง"

แล้วก็มีพระที่ชื่อว่า พระไพรวัลย์ ออกมาโพสเฟสบุ็คแย้งคำดังกล่าวตามรูปนี้



ก่อนอื่นผมขอบอกก่อนว่า ผมไม่ได้มาแก้ต่างให้ใคร ผมแค่อธิบายในหลักการที่ถูกต้องในพุทธศาสนาเท่านั้น

----------------------------------------

บรรลุธรรม คืออะไร ?

การบรรลุธรรม หรือการบรรลุมรรคผล หมายถึง ผู้สำเร็จเป็นพระอริยะ อันได้แก่พระโสดาบัน เป็นอย่างน้อย

ซึ่งผู้ที่ได้รับการประกันรับรองว่า จะถึงพระนิพพานในอนาคตข้างหน้าแน่นอน ในระยะเวลาอย่างช้าไม่เกิน 7 ชาติ ก็คือ พระอริยะระดับล่างสุดคือ พระโสดาบัน นั่นเอง

ผู้สำเร็จเป็นพระโสดาบันนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นเพศสมณะ หรือเพศบรรพชิต เท่านั้น

แต่ผู้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ยังเป็นฆราวาสอยู่ก็ได้ และมีมากมายเสียด้วย

ซึ่งพระโสดาบันที่ยังเป็นฆราวาสนั้น ก็ยังต้องประกอบสัมมาอาชีพเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เลี้ยงครอบครัวของตนเอง

ตัวอย่างเช่น ถ้าพระโสดาบัน มีอาชีพเป็นศิลปิน นักแสดง หากต้องทำการแสดงเช่น ร้องเพลง เล่นลิเก หรือแสดงละคร แสดงหนัง ก็ย่อมต้องทำหน้าที่ไปตามบทบาทหน้าที่ที่ตัวเองได้รับต่อไปตามปกติ

ดังนั้น หากพระโสดาบัน จะต้องแต่งหน้าเพื่อทำหน้าที่ในอาชีพของตัวเอง จึงไม่ใช่เป็นเรื่องผิดแต่อย่างใด และไม่ใช่เรื่องกีดขวางทางแห่งพระนิพพานด้วย

เพราะถ้าหากการแต่งหน้าเป็นทางขวางพระนิพพานจริง ๆ ก็คงไม่มีฆราวาสผู้ประกอบสัมมาอาชีพสำเร็จพระโสดาบันได้หรอก

ดังเช่น นางวิสาขา สตรีในสมัยพุทธกาล เธอก็ยังแต่งหน้า แต่งองค์ทรงเครื่องประดับและอาภรณ์ต่าง ๆ อย่างอลังการ ทั้ง ๆ ที่เธอสำเร็จเป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ 7 ขวบ แถมยังแต่งงานครองเรือนได้ตามปกติ จนมีบุตรชาย 10 คน มีบุตรสาว 10 คน แม้เธอจะเป็นพระอริยะแล้วก็ตาม


นางวิสาขา

หรือแม้แต่พระสกิทาคามี ผู้ละสังโยชน์ใน กามราคะ ได้ ซึ่งก็คือ การละความเพลินในการได้เสพ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ ที่น่าพอใจลงแล้ว

หากพระสกิทาคามี ยังมีหน้าที่ประกอบสัมมาอาชีพที่ยังต้องแต่งหน้า ก็ยังสามารถกระทำได้ตามปกติ
(แต่โดยมากแล้วกุศลกรรมจะนำพาให้พระสกิทาคามีมีเหตุให้ได้ละสิ่งพวกนี้โดยไม่กระทบในอาชีพ)

เพราะหากใจไม่ยึดติดแล้ว ก็ย่อมไม่มีผลกระทบต่อทางนิพพานแต่อย่างใด ซึ่งผู้ที่เป็นพระอริยะแล้ว ย่อมไม่มีสิ่งใดมาขัดขวางการเข้าถึงพระนิพพานในอนาคตได้อย่างแน่นอน

เหมือนเช่น เวลามีคนถวายดอกไม้แด่พระพุทธเจ้า แม้พระพุทธเจ้าทรงรับดอกไม้นั้นไว้ แต่ถามว่า พระพุทธเจ้าทรงยึดติดในดอกไม้นั้นหรือไม่ ?

การยึดติดหรือไม่ยึดติดสิ่งใด ๆ นั้น เป็นสิ่งรู้ได้เฉพาะตน แม้พระโสดาบัน หรือพระสกิทาคามี เอง หากต้องทำหน้าที่ตามอาชีพของตัวเองในบางเรื่อง ก็ยังกระทำได้ โดยไม่กีดขวางทางนิพพานแต่อย่างใด

เพราะการบรรลุธรรมนั้นมีหลายระดับ ดังนั้นการแต่งหน้าของฆราวาสจึงไม่ใช่การกีดขวางทางนิพพานแต่อย่างใด

แต่เมื่อเป็นพระอริยะระดับที่สูงขึ้นไปก็จะค่อย ๆ ลดกิเลสลงได้ตามลำดับมากขึ้นเรื่อย ๆ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวข้องกับกิเลสก็จะลดลงเป็นไปตามกุศลธรรมที่จะช่วยอำนวยให้ได้ลดลงโดยไม่กระทบต่ออาชีพ

สรุปก็คือ พระมหาไพรวัลย์นั้นยังเป็นผู้มีอคติ จึงทำให้ความรู้ในธรรมของท่านเกิดความบกพร่อง จึงได้อธิบายในสิ่งที่ผิด ๆ ออกไป

---------------------

สำหรับในบทความนี้ ขออธิบายไว้คร่าว ๆ เป็เเบื้องต้นเท่านี้ก่อน ไว้บทความหน้าจะเขียนเรื่อง ฆราวาสบรรลุธรรม ให้ละเอียดชัดเจนและตรงประเด็นยิ่งขึ้นครับ

คลิกอ่าน ทัศนคติผู้หญิงจำนวนมากส่งเสริมให้ผู้ชายผิดศีล