ปัญหาเรื่องเขตแดนไทยกับกัมพูชาได้เริ่มมีปัญหากันอีกครั้งเมื่อประมาณปี พ.ศ.2540 เป็นต้นมา จนกระทั่งรัฐบาลนายชวน หลักภัยได้ไปชวนรัฐบาลกัมพูชามาลงนามร่วมในMOU43 เพื่อจะปักปันเขตแดนกันใหม่ โดยที่รัฐบาลนายชวนได้ไปเปิดโอกาสให้กัมพูชาแนบแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนเข้ามาไว้ใน MOU43 ด้วย
(MOU43 คือ “บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก”)
ซึ่งหลังจากกัมพูชาได้นำแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนเข้ามาใน MOU43 ก็ยิ่งได้ใจรุกคืบหวังครอบครองดินแดนไทยเรื่อยมา จนกระทั่งคดีเขาพระวิหารได้มีโอกาสขึ้นสู่ศาลโลกอีกครั้งหนึ่งในเดือนเมษายน และพฤษภาคม พ.ศ.2556 นี้
ซึ่งไม่ว่าผลของการตีความของศาลโลกจะออกมาเป็นเช่นไร ฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ก็มีแต่เสียกับเสียเท่านั้น
ประเด็นที่ 1. หากไทยต้องเสียปราสาทเขาพระวิหารและพื้นที่โดยรอบตัวปราสาทไป
ทางฝ่ายพรรคเพื่อไทยก็จะอ้างว่า ที่ไทยต้องเสียดินแดนนั่นเพราะ รัฐบาลนายชวนหลีกภัย ได้ไปทำข้อตกลงร่วม MOU43 ที่ไปเปิดโอกาสให้กัมพูชานำแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนมาอ้างได้ เพราะการให้กัมพูชานำมาแนบไว้ใน MOU43ได้ ก็เท่ากับรัฐบาลไทยในสมัยนั้นไม่ได้ปฏิเสธแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน
อีกทั้งการทำ MOU43 ก็ไม่ได้ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา ตามมาตรา224 ในรัฐธรรมนูญพ.ศ.2540
ก็เท่ากับว่า ที่รัฐบาลของนายชวน หลีกภัย กระทำข้อตกลงกับกัมพูชาในMOU43นั้น เป็นการขัดรัฐธรรมนูญไทยด้วย
เพราะใน รธน. 2540 มาตรา 224 คือ
มาตรา 224 พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการทำหนังสือสัญญาสันติภาพ สัญญาสงบศึก และสัญญาอื่น กับนานาประเทศหรือกับองค์การระหว่างประเทศ
หนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทยหรือเขตอำนาจแห่งรัฐหรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามสัญญา ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา
แม้ทางพรรคประชาธิปัตย์จะพยายามออกมาบอกว่า ไม่เคยยอมรับแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนของกัมพูชาก็ตาม
คืออาจจะอ้างว่า การทำ MOU เป็นแค่บันทึกความเข้าใจเท่านั้น ไม่ถือเป็นหนังสือสัญญา
แต่นั่นมันเป็นความคิดของฝ่ายปชป. ฝ่ายเดียวเท่านั้น ส่วนฝ่ายกัมพูชากลับไม่คิดแบบนั้นด้วย
เพราะส่วนหนึ่งในแถลงการณ์ของนายฮอร์ นัม ฮง รมว.ต่างประเทศกัมพูชา ที่ได้แถลงไว้เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธุ์ 2554 ที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ภายหลังจากปราสาทเขาพระวิหารได้รับการอนุมัติให้ขึ้นทะเบียนมรดกโลก
นายฮอร์ นัมฮง ได้แถลงว่า
"ในเดือนมิถุนายนค.ศ.๒๐๐๐ (พ.ศ.2543) กัมพูชาและประเทศไทยได้ลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลของราชอาณาจักรกัมพูชาและรัฐบาลของราชอาณาจักรไทยในการสำรวจและจัดทำหลักเขตทางบก (MOU43) ซึ่งได้ยอมรับ “แผนที่ดงรัก” ซึ่งอ้างถึงโดยศาลยุติธรรมระหว่างประเทศสำหรับคำตัดสินในปี ๑๙๖๒ ว่าแผนที่ “ผนวก ๑” พร้อมด้วยเอกสารที่ชอบด้วยกฎหมายอื่น เป็นฐานทางกฎหมายสำหรับการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างกัมพูชาและประเทศไทย
– ประเทศไทยได้เริ่มเรียกร้องว่าเป็นเขตแดนของตนซึ่งเรียกว่าพื้นที่ ๔.๖ ตารางกิโลเมตร ในบริเวณใกล้เคียงปราสาทพระวิหารเฉพาะเมื่อคณะกรรมการมรดกโลกเริ่มพิจารณาการขึ้นทะเบียนปราสาทในบัญชีมรดกโลกในปี ๒๐๐๘ การอ้างของไทยนี้อาศัยแผนที่ซึ่งลากเองเพียงฝ่ายเดียวซึ่งไม่มีคุณค่าทางกฎหมายใด" นายฮอร์ นัม ฮง
คลิกอ่านรายละเอียดคำแถลงที่นี่
ประเด็นที่ 2. แต่ถ้าหากไทย ไม่เสียดินแดนมากไปกว่าเดิม
ก็เท่ากับว่า พรรคเพื่อไทย และทักษิณ ก็จะได้เป็นฮีโร่ ลบข้อกล่าวหาที่ว่า ทักษิณหวังขายชาติเพื่อหวังฮุบผลประโยชน์ทรัพยากรทางทะเลร่วมกับกัมพูชาในอ่าวไทย
นี่ก็จะยิ่งทำให้พวกเสื้อแดงคลั่งไคล้ทักษิณและเพื่อไทยหนักเข้าไปอีก
---------------------
ย้อนกลับมาเในประเด็นที่ 1 หากไทยต้องเสียพื้นที่รอบเขาพระวิหารมากไปกว่าแค่ตัวปราสาท
ซึ่งหากผลออกมาเป็นแบบนั้น ในความเป็นจริงแล้วจะไปโทษรัฐบาลชวน ฝ่ายเดียวก็ไม่ถูกต้องนัก
เพราะหลังจากนั้นรัฐบาลทักษิณก็ได้ไปทำ MOU44 ซึ่งก็ขัดรัฐธรรมนูญ 2540 มาตรา224 เช่นกัน
แถม MOU44 ยิ่งเป็นการยอมรับMOU43 มากขึ้น และยิ่งไปยอมรับแผนที่ทั้งทางบกและทางทะเลที่กัมพูชาคิดจะโกงไทยให้หนักซ้ำเข้าไปอีก รวมทั้งการไปทำ TOR46 ด้วย
(MOU44 "การลงนามแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทยกับกัมพูชาในเรื่องแบ่งปันผลประโยชน์ทางทะเล")
ซึ่งรายละเอียดของความอัปยศใน MOU44 ที่รัฐบาลทักษิณทำนั้น ผมขอแนะนำให้ไปอ่านอีกบทความหนึ่ง จะเข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้นครับ คลิกที่นี่
----------------
ฟายแดงมันเชื่อแต่ทักษิณ
แต่ก็อย่างว่า พวกเสื้อแดงหรือฟายแดงเป็นพวกเสพข้อมูลด้านเดียวเป็นส่วนใหญ่
ซึ่งถ้าหากไทยต้องเสียดินแดนเพิ่ม พวกเสื้อแดงก็จะเชื่อทักษิณว่า พรรคประชาธิปัตย์คือตัวการต้นเหตุที่ทำให้ไทยต้องเสียดินแดน
ทั้งๆ ทักษิณและรัฐบาลขี้ข้า ก็มีส่วนร่วมในการยัดเยียดดินแดนไทยให้เขมรหนักยิ่งกว่ารัฐบาลชวน หลีกภัยด้วยซ้ำ
แต่ฟายแดงมันก็จะไม่ฟังเหตุผลจากฝ่ายตรงข้าม มันก็จะโทษพรรคประชาธิปัตย์ไปเต็มๆ แน่นอน
แต่ถ้าหากไทยไม่เสียดินแดนเพิ่ม ก็ยิ่งทำให้ทักษิณยิ่งกลายเป็นฮีโร่ ในสายตาเสื้อแดงมากขึ้นไปอีก โอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์จะเป็นฝ่ายค้านก็คงเป็นไปอีกนานแสนนานแน่นอน
-----------------
สรุป
หากศาลโลกตัดสินออกมาในประเด็นที่ 2 คือ ถ้าศาลโลกตัดสินให้แค่ตัวปราสาทเป็นของกัมพูชา เหมือนกับที่ ครม.สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์เคยตีความไว้ จนได้ไปล้อมรั้วรอบปราสาท ตามมติครม.2505 แต่ต่อมาโดยกัมพูชารื้อออกไปเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานั้น
หากศาลโลกตัดสินออกมาในประเด็นนี้จะถือเป็นชัยชนะของไทยอย่างแน่นอน ซึ่งถ้าผลออกมาแบบนี้ กัมพูชาก็ต้องรื้อหมู่บ้าน รื้อวัด อพยพคนที่บุกรุกเข้ามาในพื้นที่ 4.6 ตร.กม.ออกไปให้หมด
และถ้าหากกัมพูชาไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งศาลโลก รัฐบาลไทยก็ต้องสั่งให้กองทัพไทยผลักดันผู้บุกรุกออกไปจากดินแดนไทยเท่านั้น
ปัญหาเรื่องแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ก็จะหมดลงไปด้วย
แต่ถ้าหากศาลโลกตัดสินออกมาในประเด็นที่ 1 คือ ไทยต้องยกพื้นที่รอบปราสาทเขาพระวิหาร ที่เกี่ยวเนื่องทางประวัติศาสตร์ เช่น สระตราว ผามออีแดง สถูปคู่ ให้กัมพูชาด้วยล่ะก็
นี่แหละปัญหาใหญ่ว่า ไทยเราจะยอมยกดินแดนให้กัมพูชาหรือไม่ ?
เพราะรัฐธรรมนูญของไทย มาตรา 1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้
ถ้ารัฐบาลยอมยกดินแดนไทยให้กัมพูชาตามคำสั่งศาลโลก ผมว่า งานนี้เรื่องใหญ่แน่ ต้องมีคนรับผิดชอบในความผิดครั้งนี้ ซึ่งความซวยน่าจะตกมาที่พรรคประชาธิปัตย์มากที่สุด เพราะเป็นฝ่ายเริ่มMOU43 ขึ้น เพราะนั่นคือ ต้นเหตุและจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุด
------------------
ฉะนั้นไม่ว่าผลคดีจะออกมาเช่นไร ฝ่ายทักษิณก็จะได้ประโยชน์ทั้งขึ้นทั้งร่อง
คือถ้าไทยเสียดินแดนเพิ่ม ต่อไปก็อาจจะเสียทรัพยากรทางทะเลตามมาอีก ส่วนฝ่ายทักษิณก็รอรับผลประโยชน์ร่วมกับกัมพูชาต่อไป แถมเรื่องทำไทยเสียดินแดนก็ยกให้ประชาธิปัตย์รับผิดไปเพียงฝ่ายเดียวแทน
แต่ถ้าไทยไม่เสียดินแดนเพิ่ม ทักษิณก็จะลบข้อกล่าวหาเรื่องขายชาติ และได้เป็นฮีโร่มากขึ้นในสายตาเสื้อแดง
ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ มีซวยทั้งขึ้นทั้งร่องแน่นอนครับ
------------------
โชคยังเข้าข้างประชาธิปัตย์
เมื่อหัวหน้าพรรคเพื่อไทยกับยิ่งลักษณ์พูดแบบนี้
“เรื่องนี้เป็นวาระของชาติ ต้องช่วยกันแก้ไขปัญหาและที่ปรึกษาต่างๆ ใช้ทีมงานเดิมที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่งตั้งไว้ทั้งสิ้น โดยขอให้เชื่อใจบริษัทที่ปรึกษา และทีมงานที่จะทำหน้าที่อย่างเต็มที่” นายกฯ ยิ่งลักษณ์กล่าว
ส่วน นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงเรื่องนี้ในลักษณะเดียวกับของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่า “ถ้าเกิดความเสียหาย รัฐบาลอภิสิทธิ์ต้องรับผิดชอบด้วย เพราะรัฐบาลนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลงตัวทนายเลยใช้ทีมเดิมทั้งหมด”
เขายังย้ำว่า "ทางพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลมีความวิตกกังวลอยู่ด้วยหากผลการตัดสินใจช่วงปลายปีแล้วพบว่าไทยแพ้คดี มั่นใจว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีการขยายผลเรียกร้องให้รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องออกมารับผิดชอบซึ่งเป็นเรื่องถนัดของฝ่ายนั้นอยู่แล้ว ตนเห็นว่ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ต้องร่วมรับผิดชอบด้วยกัน เนื่องจากทีมทนายความเป็นชุดเดียวกับรัฐบาลขณะนั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตัวแม้แต่คนเดียว"
คลิกอ่าน อธิบายกรณีเขาพระวิหารอย่างง่าย
คลิกอ่าน แผนที่ 1 ต่อ 2 แสนของกัมพูชา ต้องเป็นโมฆะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ร่วมฮาแม้วจรจัด!! ถ้าไม่ชอบก็ผ่านไป ถ้าชอบใจก็ขอเสียงเชียร์ และขออภัยหากทำให้พวกคาราบาวแดงกระอัก ^^