วันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

กรรมการมหาเถรสมาคม ต้องปาราชิกยกคณะ






ภิกษุใดปกป้องสมีปาราชิกให้เป็นสงฆ์ต่อไป ย่อมถือว่า ภิกษุนั้นปาราชิกขาดจากความเป็นสงฆ์เช่นกัน

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๘ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ปริวาร
(๑๐๕๒) ข้อ ต. เพราะอาปัตตาธิกรณ์เป็นปัจจัย ภิกษุต้องอาบัติ ๔ ตัว คือ
**๑ ภิกษุณีรู้อยู่ ปกปิด ปาราชิกธรรมอันภิกษุณีต้องแล้ว ต้องอาบัติปาราชิก**

เทียบเคียงเฉกเช่นเดียวกัน ถ้าภิกษุรูปใดรู้อยู่ปกปิดปาราชิกธรรมอันภิกษุต้องแล้ว ต้องอาบัติปาราชิกเช่นกัน

สมเด็จช่วงช่วง ท่านจึงปาราชิกขาดจากความเป็นสงฆ์แล้วเช่นกัน จากการปกป้องธัมมชโย ว่ายังไม่ปาราชิก

สรุปคือ ถ้าจะปฏิรูปมหาเถรสมาคม ต้องเอาอลัชชีที่สนับสนุนสมีธัมมชโย ออกยกคณะ ซึ่งมีทั้งหมด 12 รูปที่สนับสนุนธัมมชโยว่า ยังไม่ปาราชิก

ซึ่งที่จริงแล้ว ผู้อาบัติปาราชิกได้เป็นสมีแล้วโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องมีพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชฯ มาตัดสินด้วยซ้ำ

แต่เมื่อสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จสังฆราชฯ ทรงมีพระลิขิตวินิจฉัยว่า ธัมมชโยได้ปาราชิกไปแล้ว คือขาดจากความเป็นสงฆ์ทันที ไม่อาจคืนสถานะพระได้อีก

สมีที่แอบอ้างเป็นพระต่อไป ย่อมมีมหาอเวจีนรกรออยู่ในภพหน้า
ส่วนไอ้พวกที่ยังสนับสนุนสมีให้ครองงผ้าเหลืองไว้ ก็ย่อมมีนรกอเวจีรออยู่เช่นกัน

/ใหม่เมืองเอก

----------------

ทำไมถึงว่า กรรมการ มส. ปาราชิก ยกคณะ ?

ก็ขอให้คุณผู้อ่าน อ่านข่าวนี้จากไทยรัฐ และจากปากของพระพรหมเมธี โฆษกมหาเถรสมาคม ดูครับ


http://imgur.com/gOIQvLy

เห็นไหมครับ เพราะ กรรมการ มส. กลัวว่า พวกตนจะอาบัติปาราชิกไปด้วย จากเหตุที่คืนสถานะพระให้กับธัมมชโยเมื่อปี 2549 แถมมีการเลื่อนสมณศักดิ์ให้ธัมมชโยอีกในปี 2554

เท่ากับมีกรรมการ มส. หลายรูป สมรู้ร่วมคิดสนับสนุนสมีธัมมชโยให้เป็นภิกษุต่อมาจนถึงปัจจุบัน

จึงไม่ได้มีแค่ กรรมการ มส. 12 รูปในปี 2558 เท่านั้นที่ร่วมปาราชิกเพราะยังรับรองสถานะพระของธัมมชโย หากยังมีกรรมการ มส. ที่เคยลงมติคืนสถานะพระให้ธัมมชโยเมื่อปี 2549 อีกด้วย (ซึ่งผมไม่รู้ว่า ในตอนนั้นมีกรรมการ มส. รูปใดบ้างที่ลงมติ 2549 คืนสถานะพระให้ธัมมชโย)

------------------

เจ้าคณะตำบลคลอง 4 มีคำสั่งให้ธัมมชโยเป็นเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายดังเดิม

ลองฟังชัด ๆ ที่พระพรหมเมธี โฆษก มส. แถลงเมื่อวันที่ 27 ก.พ. 2558 ที่ผ่านมสว่า เจ้าคณะตำบลคลอง 4 จังหวัดปทุมธานี ได้มีคำสั่งคืนสถานะพระและให้ธัมมชโยกลับไปเป็นเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายดังเดิม เหตุเพราะโจทก์ที่เคยฟ้องธัมมชโยถอนฟ้อง และอัยการสูงสุดถอนฟ้อง แล้ว

ผม akecity จึงถามว่า คำสั่งสมเด็จพระสังฆราชให้ต้องอาบัติปาราชิกทันที กับ คำสั่งเจ้าคณะตำบลคลอง 4 ที่คืนสถานะพระให้ธัมมชโย อย่างไหนถือเป็นกฎหมายสูงสุด ?

(คำสั่งเจ้าคณะตำบลคลอง 4 ก็ต้องมีมติมหาเถรฯ ให้การรับรอง)

ให้ดูนาทีที่ 13.00 พระพรหมเมธี อ้างคำสั่งเจ้าคณะตำบลคลอง 4 จ.ปทุมธานีได้มีคำสั่งคืนความเป็นพระให้สมีธัมมชโยแล้ว


ซึ่งทุกวันนี้ ผมยังไม่เคยเห็นมติมหาเถรสมาคมเมื่อปี 2549 ที่มีมติคืนสถานะพระให้กับ ธัมมชโย หมายถึง ยังไม่มีสื่อใดนำมาเผยแพร่ หรือมีเพียงคำสั่งเจ้าคณะตำบลคลอง 4 เท่านั้น ? อันนี้ผมยังสงสัย


แต่ผมขอลำดับเวลาให้คุณผู้อ่านพอเห็นภาพ

คือ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จสังฆราชฯ ทรงมีพระลิขิตว่า ธัมมชโยได้ปาราชิกแล้ว มาตั้งแต่พ.ศ. 2542

แต่ธัมมชโยได้คืนทรัพย์สินที่เป็นคดีแก่วัดในปี 2549 เท่ากับธัมมชโยยึดทรัพย์เกินกว่า 1 บาทไว้เป็นของตนเองนานกว่า 7 ปี แต่ธัมมชโยยังแถหน้าด้าน ๆ ว่า ไม่มีเจตนายึดทรัพยฺ์ไว้เป็นของตน

ทั้ง ๆ ที่ ถ้ายึดดามกฎหมายสงฆ์สมัยรัชกาลที่ 1 ถ้าพระยึดถือทรัพย์เกินกว่า 1 บาทเป็นของตนนานเกิน 10 วัน ก็ถือว่า มีเจตนายึดทรัพย์เป็นของตนไปแล้ว มีเหตุให้ต้องอาบัติปาราชิกทันที (ซึ่งเคยมีคดีเปรียบเทียบสมัย ร.1 คือ คดีสมีรัก วัดบางหว้าใหญ่)

แนะนำอ่านรายละเอียด คลิกอ่านย้อนคดีธัมมชโยยักยอกทรัพย์วัดพระธรรมกาย

เพราะพระลิขิต ระบุว่า "การไม่ยอมคืนสมบัติให้วัด ในขั้นต้นอาจมิใช่มีเจตนาถือเอาเป็นของตน แต่เมื่อถึงอย่างไร ก็ยังไม่ยอมมอบคืนสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัดก็แสดงชัดแจ้งว่าต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับผู้ไม่ใช่พระปลอมเป็นพระ ด้วยการนำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง ทำความเศร้าหมองเสื่อมเสีย ให้เกิดแก่สงฆ์ในพระพุทธศาสนา "


http://imgur.com/s6arttp

แม้คดีอาญาฐานยักยอกทรัพย์ จะยอมความกันได้เมื่อเจ้าทุกข์ถอนฟ้อง หรือจำเลยได้คืนทรัพย์แก่เจ้าของแล้ว แต่ไม่ได้แปลว่า จำเลยไม่ผิด !!

ความผิดอาญาฐานยักยอกทรัพย์เกิดขึ้นแล้ว ถ้าในทางพระธรรมวินัยถือว่า พระที่ยักยอกทรัพย์ได้ปาราชิกแล้ว

แต่เพราะธัมมชโยเป็นเจ้าอาวาสวัด ซึ่งตามกฎหมายถือว่า เจ้าอาวาสวัดเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แต่กลับยักยอกทรัพย์วัดเป็นของตน ก็ถือว่า มีความผิดอาญาฐานเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ มีความผิดตาม ปอ.มาตรา 157 เช่นกัน ซึ่งเป็นความผิดอาญาที่ยอมความไม่ได้

แต่อัยการสูงสุดในเวลานั้นเสือกถอนฟ้องคดีอาญาแก่ธัมมชโย ด้วยเพราะอิทธิพลทางการเมืองในขณะนั้น

ซึ่งที่จริงควรย้อนกลับไปเอาผิดอัยการสูงสุดในเวลานั้นด้วยซ้ำที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการถอนฟ้องคดีอาญาแก่ธัมมชโย

---------------------

ทักษิณ ช่วย ธัมมชโย

ในปี 2547 ทักษิณ ได้แต่งตั้งสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งมีเสียงคัดค้านจากหลายฝ่ายเช่น หลวงตามหาบัว แต่ก็ไม่อาจต้านทานอำนาจทางการเมืองของทักษิณได้

เมื่อสมเด็จเกี่ยว ได้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ก็ทำหน้าที่ประธานกรรมการ มส. ที่มีมติได้คืนสถานะพระให้กับธัมมชโย ในปี 2549 และเลื่อนสมณศักดิ์ให้ธัมมชโยในปี 2554

เมื่อสมเด็จเกี่ยวตายไปแล้วในปี 2557  ผมก็ถือว่า อโหสิกรรมกันไป (แล้วรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็แต่งตั้งสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ขึ้นมาแทนสมเด็จเกี่ยว)

คงเหลือแต่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราชในปัจจุบัน ซึ่งสมเด็จช่วงได้เป็นกรรมการ มส. มาตั้งแต่ปี 2538 ซึ่งเป็นพระเพียงรูปเดียวในวันนี้ ที่ดำรงตำแหน่งเป็น กรรมการ มส. ก่อนที่จะมีพระลิขิตฉบับ 16/2542 ที่วินิจฉัย ธัมมชโย ให้อาบัติปาราชิก

จึงเท่ากับสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ได้ปาราชิกตามธัมมชโยไปแล้วเช่นกัน เพราะสมเด็จช่วงอยู่เป็นกรรมการ มส. มาตั้งแต่ก่อนมีพระลิขิต 2542 และอยู่ในกรรมการ มส. ชุดที่มีมติคืนสถานะพระให้ธัมมชโยในปี 2549 ด้วย

แต่ที่แน่ ๆ 12 กรรมการ มส. ที่อุ้มธัมมชโยในวันนี้ เท่ากับได้ปาราชิกยกคณะทันทีตามพระธรรมวินัย

โดยมีกรรมการมหาเถรฯ จากฝ่ายมหานิกายทั้ง 10 รูปสนับสนุนให้ธัมมชโยเป็นพระต่อไป

ส่วนกรรมการมหาเถรฯ จากฝ่ายธรรมยุติกนิกาย มีเพียง 2 รูป เท่านั้่น คือ พระมหาวีรวงศ์ และพระพรหมเมธี (โฆษก มส.) จากวัดสัมพันธวงศ์ สนับสนุนให้ธัมมชโยเป็นเจ้าอาวาสต่อไป

แต่เพราะพระมหาวีรวงศ์ เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์อาพาธเพราะชราภาพ จึ
ไม่ได้เข้าร่วมประชุม มส. แต่เชื่อว่า พระพรหมเมธี รองเจ้าอาวาสได้ใช้สิทธิของเจ้าอาวาสเองอีกสิทธิในการลงมติรับรองธัมมชโย

คลิกที่รูปเพื่อขยาย

http://imgur.com/qN7CXgs

---------------------------

อัพเดทข่าว



เมื่อวันที่ 7 ก.พ. 2560 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10  ทรงมีพระบรมราชโองการสถาปนาสมเด็จพระมหามุนีวงศ์ วัดราชบพิธ ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชฯ องค์ที่ 20 แล้ว

ซึ่งผมได้กลับมาไล่ย้อนอ่านบทความนี้อีกรอบ ก็เห็นว่า สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ ทรงเหมาะสมที่จะเป็นสมเด็จพระสังฆราชฯ องค์ที่ 20 ด้วยประการทั้งปวง เหตุเพราะพระองค์ทรงไม่ได้สนับสนุนให้ธัมมชโยเป็นพระต่อไป ในมติ มส. ปี 2558

สมเด็จพระมหามุนีวงศ์ ทรงเป็นพระ 1 ใน 8 รูปของกรรมการ มส. สายธรรมยุต ที่ได้ลงมติสนับสนุนให้ธัมมชโยไม่ขาดจากความเป็นพระ พระองค์จึงไม่มีส่วนในการปาราชิกยกคณะ ตามที่บทความนี้ได้อธิบายไว้ครับ

ลิกอ่าน พลเอกประยุทธ์ต้องปกป้องพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชทั้ง 5 ฉบับ เอาผิดธัมมชโย


วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

พระเมธีธรรมาจารย์โพสรูปบิดเบือนใส่ร้ายสินจัย






บอกตรง ผมรู้สึกเศร้าใจจริง ๆ กับคดีสมีไชยบูลย์ (คลิกอ่านเมือผมใหม่เมืองเอกเลิกนับถือวัดธรรมกาย)

และยิ่งเศร้ามากขึ้น ตรงที่สงฆ์ไทยเกิดความแตกแยกหนักเข้าไปอีก

พอพระพุทธอิสระออกมาต่อต้านมติมหาเถร ก็มีพระเสื้อแดงพยายามหาตรรกะมาต่อต้านพระพุทธอิสระ เพื่อปกป้องมติมหาเถรชุดนี้อีกที

ช่างไม่แยกแยะหน้าที่ในการปกป้องพระพุทธศาสนาเลย พระเสื้อแดงพวกนี้

ขนาดพวกต่อต้านรัฐประหารหลายคน ร่วมทั้งฝ่ายต่อต้าน กปปส.หลายคน ยังมีสติดีกว่าพระเสื้อแดงพวกนี้เสียอีก คือแยกการเมืองออกไปก่อน เพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา

สรุปง่าย ๆ คือ พระฝ่ายเสื้อแดงแม่งเสื่อม ยิ่งกว่าธัมมชโยเสียอีก เพราะธัมมชโยมันปาราชิกแล้ว ก็ชั่งมัน เพราะมันมีอเวจีรอแน่นอน

แต่พวกยังไม่ปาราชิกนี่สิ แม่งกลับบ่อนทำลายศาสนาแบบกัดเซาะ เหมือนปลวกศาสนา เพราะมันกลับชักพาคนให้หลงผิดยิ่งขึ้น

พระพุทธเจ้าเคยมีพุทธทำนายว่า เมื่อเลยกึ่งพุทธกาลไปแล้ว จะมีพวกอลัชชีห่มเหลืองที่ร่ำรวยจากการหากินด้วยการบิดเบือนพระธรรมคำสอนมากขึ้น

----------------

พระเมธีธรรมาจารย์ พระของ นปช.

อย่างกรณี พระเมธีธรรมจารย์ (ประสาร จนฺทสาโร)  รองอธิการบดีฝ่ายประชาสัมพันธ์และเผยแผ่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ที่ได้ออกมาต่อต้านคณะกรรมการปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนา และต่อต้านพระพุทธะอิสระที่ออกมาคัดค้านมติมหาเถรสมาคมที่ตัดสินว่า ธัมมชโยไม่ปาราชิก นั้น



คือ พระเมธีธรรมาจารย์ อ้างแต่คนอื่นสุดโต่งทางการเมือง อ้างว่า ไม่ควรเอาฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์ทางการเมืองมาแก้ไข

แต่พระเมธีธรรมาจารย์กลับไม่ดูตัวเองบ้างว่า ตนเองนั้นออกมาเคลื่อนไหวเพื่อใครกันแน่ แล้วตัวเองสุดโต่งทางการเมืองหรือไม่ ?





พระเมธีธรรมาจารย์ ท่านก็รู้ตัวดีว่าท่านน่ะเป็นพระฝ่ายเสื้อแดง เคยถ่ายรูปกับแกนนำเสื้อแดง และแกนนำพรรคเพื่อไทยมากมายหลายคน

แล้วทักษิณ ยิ่งลักษณ์ ตระกูลชินวัตร และแกนนำพรรคเพื่อไทย ตอนนี้ก็กำลังศรัทธาลัทธิธรรมกายของสมีธัมมชโย

คลิกที่รูปเพื่อขยาย




ามว่า พระเมธีธรรมาจารย์ แน่ใจนะว่า ที่ทำไปน่ะเพื่อพระพุทธศาสนาจริง ๆ หรือทำไปเพื่อปกป้องลัทธิธรรมกายที่ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ ศรัทธากันแน่ ??

---------------

พระเมธีธรรมาจารย์ เคยโพสรูปใส่ร้ายสินจัย

เมื่อวันที่ 22 ก.พ. 58 ผมไปส่องเฟสบุ๊คของพระเมธีธรรมาจารย์ ไล่ดูรูปไปเรื่อย ๆ ก็ไปเจอรูปด้านล่างนี้



รูปนี้ถือเป็นการบิดเบือนเพื่อสร้างความเข้าใจผิดให้ใครที่มาเห็น อาจเข้าใจผิดว่า คุณสินจัย เปล่งพานิช ซึ่งเคยชุมนุมกับกลุ่ม กปปส. เคยใช้คำพูดเหล่านี้

พอผมเซฟรูปและแชร์ลิงค์รูปนี้เก็บไว้ในเฟสบุ๊คของผม ไม่ทันถึง 5 นาที พระเมธีธรรมาจารย์ คงรู้ตัวว่า มีคนเข้ามาแชร์รูปนี้ไป ท่านก็รีบตั้งค่าเฟสบุ๊คเป็นค่าส่วนตัวหรือค่าเฉพาะเพื่อนในทันที

ตอนนี้ถ้าใครไปดูเฟสบุ๊คของพระเมธีธรรมาจารย์ ก็จะไม่สามารถดูรูปส่วนตัวของพระเมธีธรรมาจารย์ได้อีก

ถ้าพระเมธีธรรมจารย์ยังมีความเป็นลูกผู้ชายอยู่ ก็อย่ามามุสา อย่ามาแถว่า ไม่เคยโพสรูปนี้ล่ะครับ

คือถ้าพวกเสื้อแดงทั่วไปโพส ก็พอเข้าใจว่าเกลียดสินจัย ก็เลยด่าเธอ โพสข้อความให้ร้ายเธอ

แต่ท่านเป็นพระมาโพสบิดเบือนเอง มันก็นะ

---------------------

เสียดายที่ผมไม่ทันได้เซฟรูปในเฟสของพระเมธีธรรมาจารย์อีกหลายรูปไว้ เพราะเท่าที่ส่องดูเฟสของท่่าน เห็นมีรูปพระเมธีธรรมาจารย์เซลฟี่ตัวเองอยู่หลายรูปทีเดียว

พระเซลฟี่ตัวเองคงไม่ผิดธรรมวินัยหรอก แต่มันแสดงถึงความหลงใหลในตัวกูของกู หรือยังยึดติดอัตตามากนั้นเอง



คลิกอ่าน พระเมธีธรรมาจารย์รับเงินใครหนุนสมเด้จช่วง


วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ความมั่วซั่วของ ป.ป.ง. คดีรถของบอยกับเงินวัดธรรมกาย






จากคดียักยอกเงินของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯ พันหกร้อยกว่าล้านบาท จนเกิดปัญหาเรื่องรถหรูของบอย ปกรณ์

และคดียักยอกเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นอีกหมื่นกว่าล้านบาท แล้วมีการนำเงินไปถวายพระราชภาวนาวิสุทธิ์ เจ้าอาวาสวัดธรรมกายนั้น

พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการ ปปง. แถลงทั้งสองกรณีไว้ว่า

"กรณีรถหรู ยี่ห้อลัมโบร์กินีของ บอย-ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ นักแสดงชื่อดังช่อง 3 คณะกรรมการธุรกรรมพิจารณาคดีมีมติให้ยึดรถลัมโบร์กินีของนายปกรณ์ เนื่องจากเห็นว่าเป็นทรัพย์สินที่นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ผู้ต้องหาคนสำคัญคดียักยอกเงิน สจล. คาดว่านายกิตติศักดิ์ นำเงินที่ยักยอกมาซื้อรถ ปปง. ลงมติให้อายัดรถดังกล่าวไว้ก่อน

ทั้งนี้ทั้งนั้น เชื่อว่านายปกรณ์ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องเครือข่ายผู้กระทำผิด เพียงแต่นายปกรณ์ ซื้อรถจากนายกิตติศักดิ์ ไม่ได้ซื้อจากตลาดหรือผู้ประกอบการโดยตรง หลังจากนี้จะประสานให้นายปกรณ์ นำรถคันดังกล่าวมาให้ ปปง.โดยเร็ว หากเจ้าตัวต้องการครอบครองรถเพื่อนำไปใช้ในระหว่างรอการพิสูจน์ของเจ้าหน้าที่ สามารถทำได้ โดยนำหลักทรัพย์มูลค่าเท่ากับราคารถลัมโบร์กินี ตามราคาที่ผู้เชี่ยวชาญประเมินมายื่นเรื่องที่ ปปง.ได้ หลังจากนี้ หากศาลมีคำตัดสินดุลพินิจให้ยึดก็ต้องปฏิบัติตามนั้น"

"ส่วนกรณีเงิน 714 ล้านบาท เงินบริจาคที่นายศุภชัยสั่งจ่ายเช็ค ๑๕ ฉบับ ให้กับวัดธรรมกาย ๗๑๔ ล้านบาท ปปง.ไม่สามารถอายัดได้ เพราะตามกฎหมายธรณีสงฆ์และศาสนสมบัติ ถือเป็นทรัพย์ของแผ่นดิน แต่ทราบมาว่า ทางวัดจะคืนเงินให้สหกรณ์เครดิตยูเนียนคลองจั่น ซึ่งเป็นผู้เสียหาย เพราะหากไม่คืน สหกรณ์ฯ มีสิทธิ์ยื่นฟ้อง ขอให้ศาลสั่งให้คืนเงินที่ได้ไปจากการยักยอก"


คลิกที่รูปเพื่อขยาย

สำเนาเช็คฉบับละ 100 ล้านบาทที่เจ้าอาวาสวัดธรรมกายรับจากประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น

--------------

จากทั้งสองคดีข้างต้นนี้ ผมมีความเห็นว่า ป.ป.ง. ค่อนข้างมั่วและ 2 มาตรฐาน เพราะ



ถ้าเอาตามกฎหมายจริง ๆ กรณีของ บอย ปกรณ์ ไม่เข้าข่ายรับของโจร เพราะรถคันนี้ผู้ต้องหาที่หลบหนีคดีก็ได้ซื้อมาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย (ไม่ได้ขโมยรถมา)

และบอย ปกรณ์ก็ซื้อรถต่อมาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แถมในสัญญาซื้อขายรถ บอย ปกรณ์ บอกว่า มีเขียนว่า หากรถคันนี้มีปัญหาใด ๆ ฝ่ายผู้ขายต้องคืนเงินให้ บอย ปกรณ์

สรุป กรณี บอย ปกรณ์ นั้น ป.ป.ง นั่นแหละผิดพลาด ทั้งที่ต้องคืนรถให้บอย ปกรณ์ เพราะพิสูจน์แล้วว่า เขาซื้อมาอย่างถูกต้อง เพราะได้รถมาอย่างถูกต้อง (แม้ผู้ต้องหาที่หนีคดีจะใช้เงินจากการยักยอกทรัพย์มาซื้อก็ตาม)

มันต่างกรรม ต่างวาระ คนละกรณีกับซื้อของโจร เพราะรถของบอยไม่ได้ถูกขโมยมา เพราะผู้ต้องหาได้ไปซื้อรถมาอย่างถูกต้อง เพียงแต่ที่มาของเงินที่นำไปซื้อใม่ถูกต้อง เพราะเป็นเงินที่เกิดจากการยักยอก

ส่วนกรณีของวัดธรรมกายนั้น ป.ป.ง.ก็ผิดพลาดอีก เพราะ ป.ป.ง.ควรตั้งสมมุติฐานไว้ก่อนว่า สมีนะจ๊ะแห่งวัดธรรมกายอาจมีส่วนสมรู้ร่วมคิดในฟอกเงินของผู้ยักยอกเงินก็ได้

เพราะนี่ไม่ใช่การรับของหรือซื้อของแบบกรณีรถของบอย ปกรณ์ แต่เป็นการรับแคชเชียร์เช็คฉบับละ100 ล้านบาทหลายฉบับ ซึ่งมีชื่อ พระราชภาวนาวิสุทธิ์ หรือสมีนะจ๊ะ เป็นผู้รับเงิน

สรุปคือ ป.ป.ง. กำลังมั่วทั้งสองคดีครับ

กรณีบอย ปกรณ์ ไม่ได้ซื้อของโจร ควรคืนรถให้บอยไป

ส่วนหน้าที่ของ ป.ป.ง.คือไปไล่ตามเอาเงินจากผู้ต้องหาคืน ไม่ใช่มายึดทรัพย์ของบอยแทน เพราะบอยซื้อทรัพย์มาโดยสุจริต

แต่กรณีของสมีนะจ๊ะอาจเข้าข่ายรับเงินโจร ครับ ต้องยึดเงินไว้ก่อน แล้วพิสูจน์ว่าไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในการฟอกเงิน

แล้วถ้าเป็นเงินที่มาจากการยักยอก แม้วัดอาจไม่ได้รู้เห็นการยักยอก ก็ต้องให้วัดคืนเงินแก่ผู้เสียหายในคดีสหกรณ์เครดิตยูเนียนไป

---------------------

อัพเดทข่าวล่าสุด 

ต่อมา ป.ป.ง. สรุปว่า บอย ปกรณ์ไม่มีความผิด และได้ส่งคืนรถให้บอย ปกรณ์แล้ว


วันอังคารที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ชมเสื้อแดงที่ญี่ปุ่นจำนวนมากประท้วงบิ๊กตู่






นายกรัฐมนตรีประยุทธ์ นายกฯ ที่มาจากการรัฐประหาร เพราะเกิดสุญญากาศทางการเมือง จากการที่รัฐบาลรักษาการยิ่งลักษณ์ถูกศาลรัฐธรรมนูญถอดถอนไปแล้ว ได้เดินทางไปญี่ปุ่น

แน่นอน เมื่อนายกฯ เผด็จการไปต่างประเทศ ย่อมไม่อาจห้ามคนมาประท้วงต่อต้านเผด็จการได้

เสื้อแดงที่ญี่ปุ่นเลยออกมาประท้วงเผด็จการ เรียกร้องให้เผด็จการยกเลิกกฎอัยการศึก

ตามรูปนี้


แต่ถ้านับเด็กด้วยก็มี 13 คน
http://imgur.com/jkytJ9W,xurSAXq#0




http://imgur.com/QQCSfIL
จะถือรูปประท้วงน่ะ ดูให้มันดีหน่อย มันกลับหัวเป็นไหมนั่น แหม..เสื้อแดงแท้เลยนะ

ส่วนนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ก็กล่าวกับผู้สื่อข่าวต่อหน้าพลเอกประยุทธ์ว่า "พลเอกประยุทธกำลังพยายามอย่างเต็มที่ในการฟื้นฟูประชาธิปไตยในประเทศไทย ซึ่งทางญี่ปุ่นคาดหวังเป็นอย่างมากสำหรับการสมานฉันท์กันในประเทศไทย แล้วคืนอำนาจการปกครองกลับสู่ประชาชนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้"



ส่วนพลเอกประยุทธ์ ก็ตอบนายกฯญี่ปุ่นไปว่า "ไทยกำลังเร่งเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยวางแผนเอาไว้ว่าจะมีการจัดเลือกตั้งในช่วงปลายปีนี้ หรือในปีหน้าแน่นอน พร้อมสัญญาว่าจะสร้างประชาธิปไตยที่เข้มแข็งขึ้นในประเทศไทย"

เบื้องหลัง!!!



วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ลูกค้าคนสำคัญของ ข้าวลืมผัว






นายกฯ ประยุทธ์ ไปโคราชได้หยอดมุขฮาว่า

“มีข้าวอยู่ชนิดหนึ่ง ผมอยากให้เปลี่ยนชื่อได้ไหม ข้าวอะไรก็ไม่รู้ ใครตั้งชื่อ ข้าวหลงผัว ลืมผัว อะไรนี่ล่ะ มันไม่ได้นะมันแตกแยกสังคม ทำให้ครอบครัวมีปัญหา ชื่อมันดูไม่ค่อยดี อยากให้รักกัน หลงผัว ลืมผัวอะไร ไม่ดี ไม่ได้ แต่นิสัยคนไทยบังคับไม่ได้นอกจากภรรยาบังคับสามี” นายกฯ กล่าวอย่างมีอารมณ์ขัน ทำให้ผู้เข้าฟังหัวเราะเป็นการใหญ่

จากนั้นนายกฯจึงพูดต่อว่า “ท่าทางจะเปลี่ยนชื่อยากแล้ว”

ทำไมล่ะครับ ??

ก็เพราะลูกค้าคนสำคัญรายใหญ่คนนี้น่ะสิ 555

คลิกที่รูปเพื่อขยาย






เจอฝรั่งทีไร อาการน้ำลายไหลออก คลิกที่รูปเพื่อขยาย