วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2556

ลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกอังกฤษสู่ 30บาทรักษาทุกโรค







พอดี ผมเขียนความเห็นเน้นฮาๆ กึ่งประชดประชันเล่นๆ เรื่องคนไทยบ้าบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษไว้ตามนี้





ก็เลยมีเพื่อนสงสัยถามมาว่า ไทยเราซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษแพงที่สุดในโลกจริงเหรอ ? หาข้อมูลแล้วยัง ?

ตามหลักถ้าใครถามผมแบบนี้ ผมชอบที่จะถามกลับไปว่า แล้วรู้ได้ไงว่าไม่ได้แพงที่สุดในโลก ถ้าคุณไม่เชื่อก็ไปหลักฐานมาหักล้างสิ ?

แต่ไม่ดีกว่า ผมแค่เอาฮา ไม่ซีเรียสกับเรื่องนี้ เลยนำข้อมูลมาให้ดูเล่นๆ แล้วกันว่า คนไทยเราบ้า(พนัน)บอลอังกฤษมากที่สุดในโลกจริงๆ

จากเว็บไซค์เดลิเมล์ของอังกฤษ

คอลัมภ์ £5.5bn: The staggering sum TV companies around the world will pay to screen the Premier League ได้รายงานเรื่องนี้ไว้ และได้ทำตารางราคาลิขสิทธิ์ที่ประเทศต่างๆ ในโลกซื้อลิขสิทธิ์ ในฤดูกาล2013-2016 รวม 3 ปี

ปรากฎว่า บริษัทเคเบิลไทยโฮลดิ้ง จำกัด หรือซีทีเอช บริษัทของไทย คว้าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก 3 ฤดูกาล ในอัตราที่แพงที่สุดในโลก



คือบริษัทซีทีเอชของไทย ได้ซื้อด้วยเงินมากถึง 202 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 10,100 ล้านบาท แพงที่สุดในโลก ซึ่งมีอัตราราคาที่แพงขึ้นกว่า 432% จากเดิมบริษัททรูเคยซื้อ 3 ฤดูกาลเพียง 38 ล้านปอนด์เท่านั้น (บริษัทนี้ยังได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดไปยังลาว และเขมรด้วย)

ส่วน Sub-Saharan Africa คือ กลุ่มประเทศที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของทะเลทรายซาฮาราในทวีปแอฟริกาจำนวน 48 ประเทศ มีประชากรรวมกันมากถึง 574 ล้านคน ได้ซื้อลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกอังกฤษ 3 ฤดูกาล เป็นเงิน 205 ล้านปอนด์ แม้จะมากกว่าไทย แต่นั่นคือค่าลิขสิทธิ์ที่รวมกันถึง 48 ประเทศ

ฉะนั้นจริงๆ แล้วไทยเรานี่แหละ ที่ซื้อลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก 3 ฤดูกาล แพงที่สุดในโลกของจริงแท้แน่นอน

ขนาดสหรัฐอเมริกา ซื้อลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกเพื่อถ่ายทอดสดทั่วสหรัฐฯ ยังซื้อลิขสิทธิ์แค่ 7 พันกว่าล้านบาทเท่านั้น

นี่แสดงว่า คนไทยแม่ง.. ไม่แพ้ใครในโลกจริง ๆ

--------------------------

อดีตทนายความทักษิณ ประธานซีทีเอช


วิชัย ทองแตง ประธานบริษัทซีทีเอช เจ้าของลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกอังกฤษ 3 ฤดูกาลหน้า เป็นมหาเศรษฐีอันดับ 20 ของเมืองไทยจากการประกาศของนิตยสารฟอร์บส์ ฉบับเดือนกันยายน พ.ศ. 2555

(นายวิชัย ทองแตงถือหุ้นซีทีเอช 25% ตระกูลวัชรพลถือหุ้น25%)

และนายวิชัย ทองแตงก็ยังเป็นเพื่อนร่วมรุ่นคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ของ "สมชาย วงศ์สวัสดิ์"

ในอดีต "วิชัย ทองแตง" เคยเป็นทนายความช่วยว่าความให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีซุกหุ้น1 เมื่อปี พ.ศ. 2544 จากข้อแก้ต่าง "บกพร่องโดยสุจริต"

วิชัย ทองแตง นับเป็นเศรษฐีหุ้นอันดับต้นๆ ของเมืองไทย เพราะเขาถือหุ้นใหญ่ในกลุ่มโรงพยาบาลดังๆ หลายแห่ง อาทิ โรงพยาบาลกรุงเทพ โรงพยาบาลพญาไท โรงพยาบาลเปาโล

และเขายังวางแผนจะทำให้โรงพยาบาลเอกชนไทยเป็นMedical Hub สนองนโยบายทักษิณ ที่หวังให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ในการรักษาผู้ป่วยต่างชาติ ทั้งๆ ที่ประเทศไทยสร้างแพทย์มาอย่างยากเข็ญ

แต่เพราะโครงการ30บาทรักษาทุกโรค ทำให้แพทย์มีงานหนักมากกว่าปกติ5เท่า ทำให้แพทย์จำนวนไม่น้อยต้องหนีออกจากระบบราชการไปอยู่โรงพยาบาลเอกชน ขอไปรักษาชาวต่างชาติ ทำกำไรให้โรงพยาบาลเอกชนดีกว่า

ค่าเฉลี่ยที่เหมาะสมของแพทย์ต่อจำนวนประชากร ไม่ควรเกิน 1 ต่อ 2,000คน แต่ประเทศไทยมีค่าเฉลี่ยแพทย์ต่อประชากร มากถึง 1 ต่อ 5,300คน (ปี55 มีแพทย์ทั้งหมด 12,252คน)

ซึ่งในความเป็นจริง เฉพาะในกรุงเทพ ค่าเฉลี่ยแพทย์ต่อประชากรคือ 1ต่อ600 คน (เป็นค่าเฉลี่ยนรวมทั้งภาครัฐและภาคเอกชน) เพราะแพทย์มากระจุกตัวที่กรุงเทพฯ มากที่สุด

แต่เมื่อไปดูที่บางจังหวัดทางเหนือและทางอีสาน เช่นแม่ฮ่องสอน กลับมีค่าเฉลี่ยแพทย์ต่อประชากร 1 ต่อ 5หมื่นคน !! (บางอำเภอหมอต่อประชากร 1 ต่อ 2 แสนคนก็มี เพราะมีคนพม่าข้ามมารักษาด้วย)

ยิ่งถ้าแพทย์ย้ายไปอยู่โรงพยาบาลเอกชน ค่าเฉลี่ยแพทย์ต่อประชากร จะยิ่งห่างไกลยิ่งกว่าค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอีก

หรืออย่างที่รัฐบาลไทยไม่ค่อยบรรจุพยาบาลเป็นข้าราชการ จนพยาบาลออกมาประท้วงหลายครั้ง ก็อาจหวังให้พยาบาลลาออกไปอยู่เอกชนได้ง่ายขึ้นด้วย (พอใกล้AEC รัฐบาลยิ่งลักษณ์เพิ่งจะยอมตามคำเรียกร้องในการบรรจุพยาบาล)

แต่เพราะแพทย์ต้องเสียเงินซื้อตัว ต้องลงทุนสูง เพราะแพทย์ได้บรรจุเป็นข้าราชการอยู่แล้ว

ส่วนพยาบาลแทบไม่ต้องซื้อตัว เพราะโรงพยาบาลเอกชนก็ไม่ได้ต้องการมากเหมือนแพทย์ ยิ่งช่วงหลัง ๆ พยาบาลไม่ได้บรรจุเป็นข้าราชการ เวลาโรงพยาบาลเอกชนอยากได้พยาบาลก็จะดึงตัวได้ง่าย ไม่ต้องเสียเงินซื้อตัวเหมือนซื้อแพทย์

----------------

โครงการหลักประกันสุขภาพดี แต่..

โครงการหลักประกันสุขภาพเป็นโครงการที่ดีต่อประชาชน แต่รัฐบาลต้องสร้างระบบ สร้างบุคลากรรองรับไปพร้อมๆ กัน หลายๆ ด้านด้วย

แต่เท่าที่ผมดู รัฐบาลของทักษิณและยิ่งลักษณ์ ทำโครงการ 30บาทรักษาทุกโรคเพื่อหาเสียง มากกว่าจะต้องการพัฒนาการสาธารณสุขอย่างจริงจัง (แม้แต่งบหลักประกันสุขภาพปี55 ก็ถูดตัดลง)

เมื่อไม่พัฒนาระบบให้ดีทุกด้าน ไม่พัฒนาโรงเรียนแพทย์ ไม่สร้างโรงพยาบาลให้ทั่วถึง ไม่สร้างสวัสดิการแก่บุคลากรทางการแพทย์ให้พวกเขามีกำลังใจ ก็ย่อมทำให้บุคคลากรทางการแพทย์จำนวนไม่น้อยหนีออกจากระบบราชการไปอยู่โรงพยาบาลเอกชน

ทักษิณเองก็มีหุ้นใหญ่ในโรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งที่เปิดเผยและไม่เปิดเผย

โครงการของทักษิณ จึงมักจะเป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนเสมอ

เริ่มด้วยเรื่องบอล ดันมาลงที่เรื่องโรงพยาบาล 555

ส่วนเบื้องลึกเบื้องหลังที่นายวิชัย ทองแตงรวยมากรวยเร็วได้ขนาดนี้ หลายคนบอกเพราะมีทักษิณเป็นแบคอัพให้ หรือมีข่าวลือว่า เขาเป็นนอมินีของทักษิณอีกทอดหนึ่ง

จริงเท็จอย่างไร ผมไม่รู้ ก็แค่เล่าให้ฟังแค่นั้นเอง ^^ 

และถ้าใครสนใจนายวิชัยมากกว่านี้ลองไปอ่านที่นี่เองแล้วกัน http://astv.mobi/ARSTnj1

---------------------------

อธิบายเพิ่มเติมกับความเห็นประชดในต้นบทความ

ที่ผมเขียนว่า น่าจะเอาเงินหมื่นล้านมาพัฒนาลีกไทย หากคิดตื้นๆ จะไม่เข้าใจที่ผมอธิบาย

ขออธิบายคร่าวๆ ว่า ถ้าคนไทยบ้าบอลอังกฤษน้อยลง แล้วหันมาบ้าบอลไทยมากขึ้น บริษัทเอกชนไทยก็จะหันมาถ่ายทอดบอลลีกของไทยมากขึ้น เงินทุนต่างๆ จากเอกชนก็จะมาลงในลีกบอลไทยมากขึ้น บอลไทยก็จะมีโอกาสได้รับการพัฒนามากขึ้นไปด้วย

หากคนไทยบ้าบอลไทยมากขึ้นเท่าไหร่ ผลประโยชน์จากเอกชนก็จะลงมาสู่ทีมฟุตบอลในลีกระดับต่างๆ มากขึ้น

อธิบายแค่นี้พอมองออกรึยังครับ ? (เว้นแต่บ้าพนันบอล อันนี้อาจทำให้เสื่อม)

ส่วนถ้าใครยังสงสัยว่าทำไมบอลไทยไม่พัฒนาสักที ผมเคยเขียนเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ปี 2553แล้ว ลองไปอ่านดูครับ คลิกอ่าน ถ้าจับจุดไม่ถูก ฟุตบอลไทยยิ่งล้าหลัง

------------

คลิกอ่าน งานวันเด็กทำเนียบตอกย้ำ ยิ่งลักษณ์เป็นกาลกิณี





1 ความคิดเห็น:

  1. อ่านแล้วเศร้าใจ พวกที่เล่นหุ้น หวังจะเล่นหุ้นแล้วรวย รวยน่ะได้ แต่ควรมีความรับผิดชอบบ้าง ควรจะลงทุน ในส่วนที่ขาดอย่างลีกบอลไทยบ้างก็จะดี

    ตอบลบ

ร่วมฮาแม้วจรจัด!! ถ้าไม่ชอบก็ผ่านไป ถ้าชอบใจก็ขอเสียงเชียร์ และขออภัยหากทำให้พวกคาราบาวแดงกระอัก ^^