วันจันทร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ความหมายของ"ฟายแดง" ต้นเหตุปัญหาของชาติ





ฟายแดง แปลว่า ชนเผ่าแห่งความโง่ในประเทศไทย เป็นชนเผ่าที่หลงใหลคนโกงหากตัวเองได้แบ่งผลประโยชน์โกงๆ ชั่ว ๆ นั้นด้วย

ตัวอย่างเช่น นายกยิ่งงั่ง บอกขายข้าวจีทูจี แต่เปิดเผยข้อมูลไม่ได้ เพราะเป็นความลับสูงสุดของรัฐบาล พวกฟายแดงก็เชื่อ เป็นต้น 555


ผมขอจัดฟายแดงคร่าวๆ ไว้ 6 กลุ่มใหญ่ๆ

1. ฟายแดงคอมมิวนิสต์ตกยุค (ล้มเจ้า)
2. ฟายแดงนักวิชาเกินสังคมนิยมจัด (ล้มเจ้า)
3. ฟายแดงถ่อยเถื่อนสถุล รับจ้างถ่อย
4. ฟายแดงโง่ ๆ ที่หลงเชื่อทุกอย่างที่ทักษิณและยิ่งลักษณ์พูด
5. ฟายแดงสู้แล้วรวย มีไว้หลอกฟายแดงโง่ ๆ และฟายแดงถ่อย ๆ

และฟายแดงทั้ง 5 กลุ่มนี้ ถูกรวมไว้ในกลุ่มสุดท้ายที่ใหญ่ที่สุดคือ

6 . ฟายแดงขี้ข้าทักษิณ สู้เพื่อเงินเท่านั้น

ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


--------------------------------

ฟายแดงโง่ยังไง

เขาว่า พวกฟายแดงมันฟังภาษาคนไทยฉลาดๆ ไม่รู้เรื่อง

ยิ่งกลอนแสบๆ คันๆ ที่คนฉลาดด่าสอน พวกฟายแดงมันยิ่งอ่านไม่รู้เรื่องและไม่ระคายเคืองผิวและสมองของมันเลย

อย่างเช่น กลอนพี่คนดี หรือจะเป็นกลอนกวีซีฟู้ด ที่อุตส่าห์แต่งกลอนด่าสั่งสอนฟายแดง ด้วยวรรณศิลป์ แต่พวกฟายแดงมันไม่กระดิกรับรู้หรอก

เพราะพวกฟายแดงมันสถุล ไร้ศิลปะในจิตใจ ฟายแดงมันจึงได้ถ่อย กร่าง เถื่อน โง่ หนักแผ่นดิน อย่างทุกวันนี้ไง

คุณเชื่อมั้ย? 555


-----------------------------------

วิธีด่าฟายแดงที่ถูกต้อง

ถ้าด่าฟายแดงโง่ ฟายแดงมันบอกแค่คันๆ

ถ้าอยากจะด่าฟายแดงให้มันแสบสันต์ ต้องด่า

อีปูโง่ ไอ้แม้วทรยศชาติ ไอ้ตู่อกตัญญูแม่ ไอ้เต้นสั่งเผาบ้านเมือง

ไอ้กี้ร์แห่งกองกำลังไม่ทราบฝ่ายกับน้ำมันล้านลิตรเผากรุงเทพเป็นทะเลเพลิง

ไอ้เหวงคอมมิวนิสต์เลียตีนนายทุนแม้ว นังธิดาอีป้ามหาควาย เหวงซะยิ่งกว่าไอ้เหวง



ชีวิต2ผัวเมีย คอมมิวนิสต์หลงยุค ที่ตอนนี้เลียตีนนายทุนไปแล้ว เพื่ออำนาจ วาสนา ทำหน้าที่หลอกฟายแดงให้ไปตายแทนไอ้เหลี่ยมทรราชและครอบครัว 

------------------------------

เพราะโลกนี้มีคนโง่มากกว่าคนฉลาด

ฉะนั้นปัญหาของประเทศไทยจึงไม่ใช่เรื่องประชาธิปไตยหรืออำมาตย์

ซึ่งประเทศไทยก็มีคนโง่มากกว่าคนฉลาดเช่นกัน แต่ที่ซวยหนักกว่านั้นก็คือประเทศไทยมีปัญหายิ่งกว่าแค่คนโง่หรือคนฉลาด เพราะประเทศไทยซวย 2 เด้ง นั่นคือ

ประเทศไทยมีคนที่ทั้งชั่วทั้งโง่ มากกว่าคนดีและคนฉลาด ไง

สรุปได้ว่า ฟายแดง จึงหมายถึง ชนเผ่าไทยที่ทั้งโง่ทั้งชั่ว เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่สนว่า ชาติจะพังหรือไม่

นั่นแหละคือ พวกสารเลวฟายแดง 



วันศุกร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เป๊ปซี่ กับ โค้ก อะไรหวานกว่ากัน?





เรื่องเป๊ปซี่ pepsi กับ โค้ก coke ยี่ห้อไหนหวานกว่ากัน ?

เชื่อมั้ย? ผมลองหาข้อมูลความเห็นของคนทั่วโลก ทั้งไทย และต่างประเทศ ล้วนแต่เห็นต่างกันทุกที่ บ้างก็ว่าเป๊ปซี่หวานกว่า บ้างก็ว่าโค้กหวานกว่า เห็นต่างกันเป็นแบบนี้กันทั่วโลก เถียงกันไปก็ไม่จบหรอก เพราะลิ้นสัมผัสแต่ละคนต่างกัน

แต่ที่แน่ๆ โค้กครองยอดขายในตลาดน้ำดำมากที่สุดในโลก แต่ยกเว้นในไทย เป๊ปซี่ ขายดีกว่าโค้กมาตลอด

สินค้าต่างๆ ในโลก ที่ว่าประสบความสำเร็จมาทั่วโลก หากมาขายที่ประเทศไทย บางทีมีแป๊ก!! เจอมาหลายยี่ห้อแล้ว เช่น ออเรนจิน่า (ผมชอบมาก) เป็นต้น

แต่สำหรับความคิดของผม ลิ้นของผม ผมค่อนข้างมั่นใจว่า เป๊ปซี่หวานกว่าโค้ก พิสูจน์ด้วยการเทเป๊ปซี่ลงในน้ำแข็งเปล่าทีไร เป๊ปซี่จะหวานอร่อยถูกใจผม (ซึ่งผมเป็นคนกินหวานมาก) และคนไทยส่วนใหญ่ที่ชอบกินเป๊ปซี่ใส่น้ำแข็ง จากที่ผมเคยถามๆ คนชอบเป๊ปซี่มา เขาก็มักจะตอบแบบเดียวกันว่า โค้กใส่น้ำแข็งมันจะจืด แต่ก็มีคนไม่เห็นด้วยเหมือนเดิม

ฉะนั้นเถียงกันไปไม่มีทางจบแน่ๆ ว่ายี่ห้อไหนหวานกว่า

งั้นผมของใช้ตรรกะเหตุผลตัดสินแทนแล้วกัน เพราะจะไปหาข้อมูลทางตัวเลขก็ไม่รู้จะหาจากไหน เพราะมันเป็นความลับทางการค้า หรือจะใช้เครื่องมือตรวจสอบความหวาน ผมก็ไม่มี จึงไม่อาจตอบทางตัวเลขยืนยันได้ว่า ตกลงยี่ห้อไหนหวานกว่า

แต่ถ้าใช้ตามตรรกะเหตุผลของผม ผมก็ยังมั่นใจว่าเป๊ปซี่หวานกว่า สาเหตุก็เพราะ

คนไทยเป็นชาติที่กินน่้ำตาลเฉลี่ยสูงที่สุดอันดับต้นๆ ของโลก เพราะคนไทยกินน้ำตาลเฉลี่ยปีละ30กก. ต่อคน ในขณะที่ชาติในยุโรป และอเมริกา เขากินน้ำตาลเฉลี่ยประเมาณ 11-12 กก. ต่อคน/ปี เท่านั้น

นั่นจึงแสดงว่า คนไทยนั้นชอบกินหวานมากกว่าชาติอื่นๆ โดยเฉลี่ย

สังเกตได้เลยว่า เวลาคนไทยทานก๋วยเตี๋ยว คนไทยจะใส่น้ำตาลเยอะมากๆ หรือจะเป็นเครื่องดื่มอื่นๆ คนไทยก็กินหวานกว่าชาติอื่นๆ

คุณลองไปต่างประเทศดูสิ ไปกินน้ำหวานที่ต่างประเทศ หรือกินโค้ก เป๊ปซี่ ที่ขายในต่างประเทศดู  คุณจะรู้ได้ทันทีว่า เป๊ปซี่ กับโค้ก ที่ขายในต่างประเทศ ส่วนใหญ่จะหวานน้อยกว่า ที่มีขายในเมืองไทย

ฉะนั้น ในเมื่อคนไทยชอบกินหวานมาก และเป๊ปซี่ขายดีมากกว่าโค้กในประเทศไทย

ผมจึงอนุมานได้ว่า เป๊ปซี่ต้องหวานกว่าโค้กแน่ๆ จึงถูกลิ้นคนไทยมากกว่าโค้ก

อ้าว ถ้ายังไม่เชื่อ งั้นยกตัวอย่างอีกยี่ห้อก็ได้ บิ๊กโคล่า น้ำดำจากละตินอเมริกา มาขายในไทยไม่กี่ปี กลับขายดีครองมาเก็ตแชร์ในไทยไปแล้ว 20% ถือเป็นอันดับ3 ในตลาดน้ำดำ

ซึ่งใครๆ ก็ล้วนแต่บอกว่า บิ๊กโคล่า หวานกว่าเป๊ปซี่และโค้ก บิ๊กโคล่าจึงถูกปากถูกลิ้นคนไทยที่ชอบกินหวานมากๆ เลยแย่งส่วนแบ่งตลาดไปได้อย่างรวดเร็ว

ฉะนั้น ผมมั่นใจเลยว่าที่เป๊ปซี่ขายดีกว่าโค้ก เฉพาะในเมืองไทย นั่นเพราะ เป๊ปซี่หวานกว่าโค้ก แหง ๆ

สำหรับผมเชี่ยวชาญเรื่องน้ำอัดลมมากแค่ไหน?

ผมขอตอบเลยว่า ผมเคยกินน้ำอัดลมแทนน้ำเปล่า เป็นเวลาประมาณ10 ปี คือผมไม่กินน้ำเปล่าเลย กินแต่น้ำอัดลมทุกยี่ห้อ ทุกชนิดสี แต่เน้นไปที่เป๊ปซี่จะเยอะกว่าเพื่อน แต่ปัจจุบันผมไม่ค่อยได้กินน้ำอัดลมแล้วล่ะ เพราะผมหันไปติดลูกอมแทน (ผมกินลูกอมวันละไม่ต่ำกว่า30เม็ด)

ผมจึงกล้าบอกได้เลย ในฐานะเคยติดน้ำอัดลมต่างน้ำมาร่วมๆ 10 ปี ว่าเป๊ปซี่หวานกว่าโค้ก ครับ

อ้อ .. ไม่ต้องเชื่อผมนะ สำหรับคนที่เห็นต่าง เพราะถ้าวัดกันที่ลิ้นสัมผัสของแต่ละคน มันเถียงกันไม่จบหรอกครับ

--------------

2 พ.ย. 2555 นี้เป๊ปซี่เลิกขายขวดแก้วแล้วนะ

สาเหตุก็เพราะบริษัทเสริมสุข ตัวแทนจำหน่ายเป๊ปซี่ในไทยมาหลายสิบปี ได้ตัดขาดกับ บ.pepsicola อเมริกาแล้ว ทำให้เป๊ปซี่ก็เลยยกเลิกช่องทางจำหน่ายเปีปซี่แบบขวดแก้วไปเช่นกัน

ซึ่งผมว่า เป๊ปซี่ดูถูกตลาดคนไทยซะแล้ว เพราะคนไทยส่วนใหญ่ชอบกินเป๊ปซี่หรือโค้กแบบขวดแก้วมากกว่า เพราะมันอร่อยกว่าแบบกระป๋อง แถมถูกกว่าแบบกระป๋องด้วย

ส่วนบ.เสริมสุข ก็ไม่เกรงใจเช่นกัน หันมาผลิตน้ำดำยี่ห้อ est มาแข่งเหมือนกันครับ




ซึ่งหา est สามารถเอาชนะเป๊ปซี่ ได้ ก็จะคล้ายกับกรณีที่ Pizza Company เอาชนะ Pizza Hut ได้ เพราะบริษัทไมเนอร์กรุ๊ป ที่เป็นเจ้าของพิซซ่าคอมปานี เคยเป็นผู้แทนจำหน่ายพิซซ่าฮัทในไทยมาก่อน แต่มามีปัญหากันคล้ายกรณีเป๊ปซี่โค กับ เสริมสุข นี่แหละครับ

ถึงยังไง ผมก็เอาใจช่วยสินค้าของคนไทยก่อนแล้วกัน

-----------------

ตู่ "กรูชอบกินโค้กมากกว่าว่ะ"

มาร์ค "แต่กรูชอบกินเป๊ปซี่มากกว่าว่ะ"

ตู่ "ทำไมวะ"

มาร์ค "เพราะกูไม่ใช่พวกควาย ถึงได้ชอบกินโค้ก เพราะโค้กแมร่ง สีแดงว่ะ 555"

(คาราบาว แปลว่า ควาย)




---------------------

อัพเดทบทความเพิ่มเติม

ล่าสุด เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2556 ที่ผ่านมา ผมได้ลองกิน est ครั้งแรก เป็นแบบกระป๋อง

พอดีแลกซื้อที่เซเว่น 10 บาท เอาเป็นว่า รสชาติแบบกระป๋อง est ใกล้เคียงเป๊ปซี่มาก ๆ ถ้าผมยังติดเป๊ปซี่อยู่ และรสชาติ est ก็ประมาณนี้ และถ้าราคาถูกกว่าเป๊ปซี่ ผมขอเลือกซื้อ est ดีกว่า เพราะของคนไทยด้วยกัน


คลิกอ่าน เมื่อช้างไทย แพ้ยิ่งลักษณ์



วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เมื่อช้างไทย แพ้ยิ่งลักษณ์ !!







ถาม สัตว์ที่เป็นที่เชิดหน้าชูตา มีชื่อเสียงของไทยคืออะไร?
ตอบ ช้าง

ผิด!! คือ ควายต่างหาก เพราะตอนนี้ไทยเรามีควายเป็นนายกฯ อันเป็นที่เชิดหน้าชูตาไปทั่วโลก 555 /@akecity


นายกควายหญิง เรียกตำแหน่งผู้นำรัฐบาลมาเลย์ว่า ประธานาธิบดี เฮ่อ..





จำนำข้าวจำนวน11ล้านตัน ก็ว่าไป แต่นายกควาย ดันบอกจำนำข้าว11 ล้านไร่ !!




--------------------------------

Woman touch of Yingluck at 4seasons เอาอยู่ !!





เรื่องความโง่ จะให้เลิกโง่คงยาก โดยเฉพาะกับนายกควายหญิง เพราะเรื่องปัญหาระดับชาติของจีนกับญี่ป่น ในการแย่งชิงเกาะ จนทั้งสองชาติมีภาวะความขัดแย้งกันอย่างหนัก

แต่อยู่ดีไม่ว่าดี นายกควายหญิงก็อาสาใช้ความเป็นหญิงแก้ไขปัญหาความขัดแย้งของชาติอื่นเขา

เรื่องของชาติตัวเองยังเอาตัวไม่ค่อยรอด เพราะโง่ทุกเรื่อง ดันจะเสร่อไปโชว์โง่เรื่องจีนกับญี่ปุ่น ถึงที่ประชุมสหประชาชาติ  เขาเรียกโชว์โง่ระดับโลก

งั้นก็เชิญผู้นำจีน กับผู้นำญี่ปุ่น ไปถกร่วมกับเธอ ที่โฟร์ซีซั่นแล้วกัน เผื่อจะได้หายคัน

เฮ่อ.. ถ้าไม่เรียกว่าโง่ ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว



หน้ากำลังโง่ได้ที่เลย 555


คลิกอ่าน กรณีฐาปนีย์ เกิดกระแสคนเขมรรักเจ้าจริงหรือ ?




วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555

กรณีฐาปนีย์ เกิดกระแสคนเขมรรักเจ้าจริงรึ ?







หลายคนอาจสงสัย ทำไมกรณีฐาปนีย์ วางพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จสีหนุ ลงบนพื้น ถึงได้มีกระแสคนเขมรไม่พอใจขึ้นมาก  ??

เอ๊ะ!!  คนเขมรเทิดทูินเจ้ามากขนาดนี้เลยเหรอ แต่เคยเห็นสมเด็จสีหนุ หรือ เจ้ารณฤทธิ์หนีหัวซุกหัวซุนทีไร ไม่เห็นคนเขมรจะเดือดร้อนอะไรกันเท่าไหร่เลย ??

เช่นสมัย ฮุนเซ็น รัฐประหารใส่ร้าย เจ้ารณฤทธิ์ โอรสเจ้าสีหนุ โดนฮุนเซนเล่นงานจนแทบไม่มีแผ่นดินอยู่ ตกลงคนเขมรรักเจ้า หรือรักฮุนเซ็นมากกว่ากัน กันแน?

พอเมื่อฐาปนีย์รู้ว่าคนเขมรไม่พอใจ ฐาปนีย์ก็รีบขอโทษทันที เพราะกลัวคนเขมรจะเผา... ? อีกครั้ง เฮ่อ.. ไม่พอใจอะไรก็เผาทรัพย์สินคนอื่น เหมือนพวกโง่จำพวกหนึ่งในเมืองไทยเลย

โดยฐาปนีย์ขอโทษครั้งแรกที่หน้าพระบรมมหาราชวังเขมร และเมื่อกลับมาเมืองไทย ก็รีบไปกราบของพระราชทานอภัยโทษหน้าพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จสีหนุ ที่สถานฑูตกัมพูชา และยังเขียนจดหมายขอโทษประชาชนกัมพูชาอีก แถมนายกฯ ยิ่งลักษณ์ก็ออกมาขอโทษแทนฐาปนีย์ด้วย ?


---------------------------------

ก่อนอื่น ต้องเล่าประวัติสมเด็จสีหนุสักเล็กน้อย

สมเด็จสีหนุ หรือเจ้าสีหนุ ได้ขึันครองราชย์ครั้งแรก ในสมัยเขมรเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส และฝรั่งเศสนี่แหละ ที่แต่งตั้งเจ้าสีหนุขึ้นครองราชย์ ซึ่งตอนนั้นใครๆ ก็คิดว่า เจ้าสีหนุ เป็นเพียงกษัตริย์หุ่นเชิดของฝรั่งเศส

แต่ต่อมาไม่นาน เพียงไม่กี่ปีที่เจ้าสีหนุครองราชย์ ก็สามารถประกาศเขมรให้เป็นเอกราชจากฝรั่งเศสได้ สร้างความพอใจให้คนเขมรอย่างมาก ยกย่องพระองค์เป็นวีรบุรุษ

ต่อมาไม่นาน เจ้าสีหนุก็ได้ เรียกร้องเขาพระวิหารคืนจากไทย และต่อมาท่านก็สละราชสมบัติ กลับไปยกให้พระราชบิดาของพระองค์ครองราชย์แทน เพื่อพระองค์จะไปเป็นนายกรัฐมนตรีเขมร

ต่อมาพลพต ผู้นำเขมรแดงฝักใฝ่คอมมิวนิสต์เริ่มมีบทบาทมากในเขมร เจ้าสีหนุเลยไปคบเขมรแดง เพราะกลัวตัวเองจะโดนสอย พลพตเลยให้เจ้าสีหนุเป็นประธานาธิบดีเขมร ?? แต่ก็เป็นเพียงประธานาธิบดีหุ่นเชิดของเขมรแดงเท่านั้น

ต่อมาเจ้าสีหนุก็โดนเขมรแดงหักหลัง ต่อมาก็โดนฮุนเซ็นหักหลัง โอยยาว.. ขี้เกียจเล่า ลองไปอ่านเล่นๆ แบบสั้นๆ ที่ผมเขียนไว้ในบทความแรกของผมก็ได้ คลิกที่นี่

----------------------------------------


สำหรับคำตอบเรื่องฐาปนีย์ นั้น 

ผมขอบอกว่าไม่เกี่ยวกับคลั่งเจ้า หรือรักเจ้าแน่นอน

แต่เป็นกระแสเกลียดคนไทยที่ฝังลึกในใจคนเขมรครับ ทุกวันนี้ระบบการศึกษาของเขมร ยังคงสอนให้เกลียดคนไทย สอนให้คนเขมรเห็นคนไทยคือพวกขี้โกง ขี้ขโมย ครับ เช่นคนไทยขโมยเขาพระวิหารของคนเขมรไป เป็นต้น

และยิ่งคนเขมรเห็นคนไทยเทิดทูนในหลวงเหลือเกิน คนเขมรเขาเลยหมั่นไส้คนไทยครับ เพราะคนเขมรไม่อาจปกป้องในหลวงของพวกเขาได้ เพราะพวกเขาไม่ได้รักสมเด็จสีหนุมากกว่าผลประโยชน์ตัวเอง หรือไม่ได้รักกษัตริย์ของเขมรมากกว่าชีวิตตัวเอง แปลง่ายๆ ว่า รักตัวกลัวตายมากกว่าปกป้องกษัตริย์ (เหมือนพวกฟายแดงบนแผ่นดินไทยนี่แหล่ะครับ)

อีกทั้ง คนเขมรรุ่นหลังๆ จำนวนมากได้ฝักใฝ่ และเรียนรู้เรื่องระบอบคอมมิวนิสต์ผ่านทางเวียดนาม มาเยอะ

ฉะนั้นที่คนเขมรไม่พอใจฐาปนีย์ จึงเป็นเรื่องของชาตินิยม หรือกระแสต่อต้านคนไทยมากกว่า เรื่องคนเขมรรักและเทิดทูนเจ้าแน่นอน

เพราะหากกรณีวางพระรูปสมเด็จสีหนุ ลงบนพื้น เกิดกับนักข่าวชาติอื่น ๆ เช่นนักข่าวเวียดนาม ก็จะไม่มีกรณีแบบฐาปนีย์นี้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน หรือแปลง่ายๆ ว่า

ไม่ใช่กระแสรักเจ้าของคนเขมรหรอก แต่เป็นกระแสเกลียดคนไทย ฝังลึกในสายเลือดมาแต่โบราณ นั่นจึงถูกต้องที่สุดครับ




วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2555

แนะวิธีคัดเลือกคนเข้าทำงาน ในยุคประชาธิป...?






ในยุคปัจจุบันนี้ ผู้คนเห็นแก่ตัวมากขึ้น เห็นแก่เงินและผลประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม

จากผลสำรวจหลายๆ ครั้งในยุคนี้ พบว่า คนไทยจำนวนมากยอมรับคนโกงได้ เพียงแต่ขอให้ได้ผลประโยชน์ร่วมด้วย

ฉะนั้น ท่านผู้ประกอบกิจการทั้งหลายใยยุคนี้ จึงหาคนซื่อสัตย์ได้ยาก เพราะคนส่วนใหญ่พอใจที่จะไปร่วมรับประโยชน์จากคนโกงแทบทั้งนั้น

วันนี้ ผมakecity จะขอแนะนำในการเลือกลูกจ้างเข้ามาทำงานในกิจการของท่าน ผมแนะนำหลักการสัมภาษณ์งานดังนี้

1. จงถามผู้มาสมัครงานว่า ชอบทักษิณไหม?

ถ้าเขาตอบว่า ชอบทักษิณ ให้ท่านเจ้าของกิจการเขียมันทิ้งไปได้เลย เพราะคน ๆ นี้ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนจนอาจกระทำการโกงกิจการของท่านได้ แถมจะแบ่งผลประโยชน์จากการโกงให้ผู้ร่วมงานคนอื่นๆ เพื่อปิดปาก และเพื่อชวนร่วมกันโกงท่าน จนอาจพาท่านซวยเข้าคุกเข้าตารางได้เลย



2. จงถามผู้มาสมัตรงานว่า ชอบกลุ่มเสื้อแดงหรือไม่ ?

ถ้าขอตอบว่า ชอบ ให้ท่านเจ้าของกิจการเขี่ยมันทิ้งไปได้เลย เพราะคนๆ นี้ อาจนัดคนงานทำการประท้วง ข่มขู่ หรืออาจทำลายกิจการของท่านได้ หากคนพวกนี้ไม่พอใจ

"เผากิจการมันเลยครับพี่น้อง!!"

เพราะคนพวกนี้ชอบใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย ไร้ระเบียบวินัย ชอบแหกกฎระเบียบ ซึ่งจะนำพาความวุ่นวายมาสู่กิจการของท่านเสมอ



3. จงถามผู้มาสมัครงานคนนั้นว่า คิดว่ายิ่งลักษณ์สวยและฉลาดหรือไม่ ?

ถ้าเขาตอบว่า ยิ่งลักษณ์สวยและฉลาด ให้ท่านเจ้าของกิจการเขี่ยมันทิ้งไปได้เลย เพราะคนๆ นี้ตาต่ำ มองแต่ความสวยภายนอก ที่ฉาบไปด้วยความตอแหล โกหกหน้าด้านๆ

ยิ่งถ้าเขาคิดว่ายิ่งลักษณ์ฉลาด นั่นแสดงว่า ผู้มาสมัครงานคนนี้โง่สุดๆ คนๆ นี้จะทำให้กิจการของท่านเสียหายจากความโง่ของเขาได้เลยครับ



4. เมื่อท่านรู้ว่าผู้มาสมัครงานเป็นพวกฟายแดงแน่ชัดแล้ว ท่านก็ไม่ต้องบอกเหตุผลอะไร ที่ทำให้พวกฟายแดงรู้ตัวว่า ท่านไม่เลือกพวกนี้เข้าทำงานเพราะเหตุผลอะไร ?

เพราะไม่เช่นนั้น ท่านเจ้าของกิจการอาจตกอยู่ในอันตราย ขอเตือน !!

ฉะนั้น ในยุคประชาธิปควายแดง ท่านต้องระวังให้มากขึ้นในการคัดเลือกบุคคลเข้าทำงาน

แม้คนๆ นั้นอาจเป็นคนเก่ง แต่เมื่อเขาเข้ามาแล้ว เขาย่อมพร้อมทรยศ หักหลัง และโกงท่านเจ้าของกิจการได้เสมอ ท่านอาจยินดีที่เขาทำงานเก่ง แต่อย่าลืมว่า วันใดท่านเผลอ ท่านอาจหมดตัวเพราะคนโกงได้เช่นกันครับ

เพราะขึ้นชื่อว่าคนโกงแล้ว ความทรยศหักหลังเป็นของคู่กัน




วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ความต่างกรณีคดีสนธิลิ้มล้มละลาย กับคดีสรยุทธไร่ส้ม







ผมพยายามจะมองว่า สรยุทธก็แค่พิธีกรทีวีที่เห็นแก่เงิน เหมือนคนโลภมากทั่ว ๆ ไป ที่พยายามรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง ด้วยการเอาใจข่าวฝ่ายพวกมากลากไป ให้มากกว่าข่าวของฝ่ายพวกข้างน้อย โดยสรยุทธก็พยายามไม่หักหาญใจทั้งสองฝ่ายจนเกินไป เพราะจะส่งผลกระทบถึงรายได้ของตัวเองที่อาจจะลดลงไปด้วย

แปลง่าย ๆ ว่า เสี่ยสรยุทธพยายามรักษากระเป๋าเงินของตัวเองให้ปลอดภัยไว้ก่อน

ทีนี้เท่าที่ผมตามดูจาก คห. ในเว็บหลายแห่ง พบว่า ฝ่ายเสื้อแดงส่วนใหญ่จะออกมาปกป้องสรยุทธ 

นั่นเพราะสรยุทธ เป็นพ่อค้าข่าวที่ไม่กล้าทำลายน้ำใจเสื้อแดง ต่างจากสื่ออื่น ๆ ที่กล้านำเสนอความจริงมากกว่า

เพราะหากสื่อนำเสนอความจริงเมื่อใด เสื้อแดงมันมักจะรับความจริงไม่ได้ 5555

กรณีสรยุทธ โดน ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดทุจริตค่าโฆษณา 138 ล้านบาทของ อสมท. นั้น ซึ่งก็มีเสียงเรียกร้องจากหลายฝ่ายให้สรยุทธแสดงสปิริตหยุดดำเนินรายการสักพัก เพื่อรอให้ความจริงปรากฏว่า ไม่ผิด แล้วค่อยกลับมาดำเนินรายการต่อ

แต่สุดท้ายสรยุทธก็หาได้มีสปิริตไม่ เพราะสรยุทธเขาถือว่าเขาไม่ใช่สื่อแล้ว เพราะเขาได้ลาออกจากสมาคมของสื่อทุกชนิดไปแล้ว

ในตอนนี้ สรยุทธ จึงทำตัวเสมือนเป็นพวกครึ่งบกครึ่งน้ำ กึ่งนักธุรกิจและกึ่งพิธีกรข่าว แต่ไม่ใช่สื่อ ก็คงคิดว่า เขาจึงไม่จำเป็นต้องเชื่อคำแนะนำจากสมาคมวิชาชีพสื่ออีก

แม้กระทั่งสภาวิชาชีพวิทยุ ทีวี จะเรียกร้องให้สรยุทธออกมาแสดงความรับผิดชอบ แต่สรยุทธก็หาได้สนใจไม่

----------------------

นังคำผกา Voice TV

เมื่อวันก่อน นังคำผกา พิธีกรทางช่องE Oak ทีวี ได้จัดรายการทำนองปกป้องสรยุทธ โดยอ้างด้วยตรรกะเสื้อแดงว่า ต้องแยกแยะระหว่างหน้าที่สื่อ กับบทบาททางธุรกิจส่วนตัวออกไป

ถุย!! นี่แหละเขาเรียกตรรกะควายแดงชัด ๆ

แถมนังคำผกา ยังอ้างกระทบไปถึงคดีสนธิ ลิ้มทองกุลว่า สนธิเองก็ล้มละลายทางธุรกิจ ทำไมยังทำสื่ออยู่ได้??

นี่ยิ่งแสดงให้เห็นถึงมันสมองโง่ ๆ ของสื่อเสื้อแดงชัดเจนว่า มันแยกแยะอะไร ๆ ได้แบบโง่ ๆ เสมอต้นเสมอปลายจริง ๆ

ซึ่งพวกเสื้อแดงจำนวนมาก พอได้ฟังนังคำผกา ชอบโชว์นม ออกมาปกป้องสรยุทธ พวกเสื้อแดงก็เลยเอาตรรกะควายแดง ตัวอย่างกรณีสนธิ ลิ้ม มาอ้างตามบ้าง

ควายแดงมันชั่งโง่จริง ๆ

--------------------

กรณีสนธิ ลิ้ม ต่างจากคดี สรยุทธ ไร่ส้มสีทอง อย่างไร?

ตอบได้ง่ายมากเลยครับ

กรณีสนธิ ล้มละลาย ก็เป็นแค่คดีแพ่งธรรมดาส่วนบุคคล เป็นเพียงคดีล้มละลายธรรมดาเท่านั้น ไม่ใช่คดีทุจริตอย่างการยักยอกทรัพย์สิน การฉ้อโกง หรือคอรัปชั่น !!

ซึ่งสนธิเขาก็สู้คดีในทางแพ่งของเขาไป เจ้าทุกข์เขาก็ฟ้องร้องสนธิกันไป มันเป็นคดีส่วนบุคคล ไม่ได้กระทบต่อประชาชน ต่อสังคมแต่อย่างใด มันเป็นเรื่องส่วนตัวของนายสนธิ ที่ทำธุรกิจแล้วเจ๊ง!!

ซึ่งการที่นักธุรกิจทำธุรกิจกู้เงินธนาคารมาทำธุรกิจ แล้วเกิดขาดทุน ไม่มีเงินจ่ายหนี้จนถูกธนาคารฟ้องล้มละลาย มันก็เป็นเรื่องปกติในวงการธุรกิจอยู่แล้ว

ส่วนกรณีของสรยุทธ เป็นการคอร์รัปชั่นต่อหน่วยงานรัฐ เป็นกระทำความผิดทุจริตต่อ อสมท. ซึ่งถือหน่วยงานของรัฐ และตามข้อกล่าวหา ได้มีการติดสินบนพนักงาน อสมท. จนพนักงานคนนั้น ถูกเอาผิดวินัยร้ายแรงต่อองค์กร จนถึงขั้นไล่ออก

ซึ่งเมื่อป.ป.ช. ชี้มูลความผิดสรยุทธ ซึ่งเป็นความผิดต่อรัฐ ก็หมายถึงเป็นความผิดต่อประเทศชาติและสังคมส่วนรวมด้วย

ดังนั้น สรยุทธจึงต้องแสดงความรับผิดชอบต่อการทำหน้าที่ หากสรยุทธยังมีจิตสำนึกในความรับผิดชอบต่อสังคมอยู่




---------------------

การที่ เสื้อแดง มันยอมรับสรยุทธได้ ก็เหมือนที่มันยอมรับความชั่วของทักษิณได้นั่นแหละ

ประเทศไทยมันไม่เจริญ เพราะเสียงส่วนใหญ่มันไร้คุณธรรมนี่แหละ ควายแดงเอ๊ย !!

เช่น "ที พธม. ปิดทำเนียบ บุกสนามบินได้ ทำไมเสื้อแดงจะเผาบ้านเผาเมืองบ้างไม่ได้"

ตรรกะควายแดงที่ว่า ทีคนอื่นทำผิดได้ ทำไมพวกเสื้อแดงจะทำผิดหนักกว่าบ้างไม่ได้ ตรรกะเลวๆ แบบนี้นี่แหละทำชาติเสื่อม !!



คลิกย้อนอ่าน กิตติ สิงหาปัด สื่อแท้ช่อง3 (อายเขามั้ย สรยุทธ)


วันพุธที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2555

กิตติ สิงหาปัด สื่อแท้ช่อง3 (อายเขามั้ย สรยุทธ)






ทำเอาหลายคนถึงกับอึ้ง ที่เคยคิดว่า รายการที่มีอัตราค่าโฆษณาสูงที่สุดของช่อง3 คือรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ของเสี่ยสรยุทธ นักเล่าข่าวเพื่อเงิน ผู้สร้างภาพเก่งจนเป็นขวัญใจคนไทยจำนวนมาก

แต่ความจริงกลับ ไม่ใช่!!



ถึงวันนี้เราได้ตาสว่างแล้วว่า รายการที่มีอัตราค่าโฆษณาสูงที่สุดของช่อง 3 คือรายการข่าว 3 มิติ ของคุณกิตติ สิงหาปัด สื่อแท้ที่ไม่เห็นแก่เงิน ไม่เคยหวังล่อหลอกคนดูให้ส่งsms เพื่อหวังส่วนแบ่งค่าSMS และไม่ต้องการพูดโฆษณาแฝงในรายการเหมือนรายการเล่าข่าวหน้าเงินของเสี่ยสรยุทธ

ทวิสเตอร์ของคุณกิตติ สิงหาปัด (คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!)


คุณกิตติ ได้แค่ค่าจ้างผลิตและดำเนินรายการเท่านั้น ต่างจากรายการของสรยุทธที่เขาทำเอง แล้วแบ่งค่าโฆษณากับช่อง 3 อีกที ถึงได้รวยเว่อร์กว่าคนในอาชีพเดียวกัน

แถมรายการของสรยุทธ มีความตั้งใจพยายามล่อให้คนดูร่วมส่งSMS ชิงโชคของรางวัลแทบทุกช่วงของรายการ โดยอ้างประโยชน์บังหน้าว่า SMS ของคุณผู้ชม ได้ช่วยให้ครอบครัวข่าว3 ไปช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนได้ทันเหตุการณ์ !!

แต่หารู้ไม่ว่า ทุกของรางวัลที่เขาเอามาล่อ เขาได้ประโยชน์ยิ่งกว่าผู้ใด แถมค่าSMS ที่ส่งชิงโชคในรายการ ผมเคยคำนวณเล่นๆ คร่าวๆ ว่า ทำเงินให้รายการนั้นๆ ไม่ต่ำกว่าวันละ3 แสนบาท!!

แถมทุกช่วงรายการ สรยุทธ ยังมีโฆษณาแฝงในรายการตลอด โดยทำเป็นพูดว่าฝากข่าวประชาสัมพันธ์ แต่ฝากข่าวประชาสัมพันธ์ในรายการของสรยุทธ เขาคิดค่าปากสรยุทธพูด นาทีละ2แสน!!




----------------------

สรยุทธ นักเล่าข่าวหน้าเงิน ไร้สปิริต

พิธีกรชื่อดังของเกาหลีใต้ เมื่อเขาโดนจับได้ว่าเลี่ยงภาษี พอเขาจ่ายภาษีย้อนหลัง เขาก็ไม่หน้าด้านทำงานต่อ แต่ขอไปพิจารณาตนเอง ออกจากวงการไปสักพัก พร้อมออกมากล่าวขอโทษประชาชน

ส่วนสรยุทธ อ้างว่าจ่ายเงินคืนอสมท.ไปแล้ว แถมโดนปปช. ชี้มูลความผิดว่า ทุจริตต่อองค์กรของรัฐ

แต่สรยุทธ ก็ยังหน้าด้านหาเงินต่อไป !!


------------------------

สำนักข่าวอิศรา เผยรายได้กิตติ สิงหาปัด จนกว่าสรยุทธ 35เท่า

กิตติ สิงหาปัด เจ้าของรายการข่าว 3 มิติ ไม่เคยพีอาร์ให้หน่วยงานรัฐ รวมทั้งบริษัทกึ่งรัฐวิสาหกิจอย่างปตท.  ไม่รับโฆษณาแฝง ไม่ตั้งสินค้าในฉากรายการ และไม่มีsms เพื่อล่อให้คนดูส่งมา

รายการของกิตติ ใน4 ปี รวย 75 ล้าน แต่เทียบไม่ได้กับ“ไร่ส้ม-สรยุทธ” รวยถล่มทลายมากกว่ารายการของกิตติ 35 เท่า

ในขณะที่สรยุทธรับใช้บริษัทขูดรีดคนไทยอย่างปตท. อย่างอิ่มหมีพีมัน!!

คลิกอ่านรายงานของสำนักข่าวอิศราที่นี่




คลิกย้อนอ่าน สรยุทธควรแสดงสปิริตหยุดดำเนินรายการ





แจกเงินชาวนาโดยตรงเลยดีกว่าจำนำข้าว






วันนี้ ผมขอนำคำสัมภาษณ์ของ นายปราโมทย์ วานิชานนท์ อดีตกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ และ ที่ปรึกษาสมาคมชาวนาไทย พูดถึงการขาดทุนของโครงการจำนำข้าวปีแรกของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ มาให้อ่านครับ

เพราะคุณปราโมทย์ เขาอธิบายความได้ดี และมองเห็นภาพรวมเลย


นายปราโมทย์ กล่าวว่า ตัวเลขล่าสุดทั้งนาปี - นาปรัง รวมกันที่เข้าโครงการรับจำนำประมาณ 2.16 ล้านราย เราพบตัวเลขที่น่าตกใจว่าชาวนา ที่ทำนาปีประมาณ 1.25 ล้านครอบครัว ไม่ได้มีโอกาสเข้าโครงการรับจำนำ เพราะเป็นชาวนาที่ทำแค่ 3 - 5 ไร่ และทำไว้เพื่อบริโภค อยู่นอกเขตชลประทาน ทำนาได้เพียงปีละครั้ง เขาจึงไม่มีข้าวที่จะมาเข้าโครงการจำนำ ซึ่งเป็นกลุ่มชาวนาที่จนที่สุด นี่คือปัญหาที่รัฐบาลไม่ได้มอง คิดแค่หยาบๆ

นายปราโมทย์ กล่าวต่อว่า นอกจากขาดทุนจากการรับจำนำ ซึ่งตนคำนวณแบบหยาบๆแค่ปีแรกอยู่ที่ประมาณ 9.3 หมื่นล้านบาท ยังมีค่าโง่ต่างๆตามมาอีกมากมาย ดังนี้

- พอประกาศว่าจะจำนำ 15,000 บาท/ตัน ราคาทุกอย่างแพงหมด ทั้ง ปุ๋ย สารเคมี ค่าแรง ที่น่าเจ็บปวดคือเดิมเสียค่าเช่าที่นา 500 บาทต่อไร่/ครั้ง แต่วันนี้ขึ้นไป 100 เปอร์เซ็นต์ กลายเป็นว่าเราเอาภาษีประชาชนไปจ่ายให้เจ้าของที่ดิน มันไม่ยุติธรรมต่อผู้เสียภาษี แล้วที่บอกว่าชาวนาได้แต่ต้องจ่ายโน่นนี่ กว่าจะถึงบ้านหมดพอดี

- กระทรวงพาณิชย์แถลงเองว่าการบริหารจัดการโครงการนี้ใช้เงิน 1.1 หมื่นล้าน ตั้งแต่ดอกเบี้ยธกส. ค่าประกันภัย ค่าโกดัง ฯลฯ

- พอบอกว่าต้องใช้กระสอบจำนวนมหาศาล 126 ล้านใบ วันนี้ต้องซื้อกระสอบใบละ 54 บาท คิดเป็นเงิน 6.8 พันล้าน เงินที่ต้องเสียให้ต่างชาติโดยไม่จำเป็น โดยที่ อินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ ได้ประโยชน์ โรงสีต้องแห่ไปแย่งกันซื้อ เพราะไม่มีกระสอบจะใส่ (กระสอบสำหรับเก็บข้าวไว้ในโกดัง)

- ปกติโรงสี สีข้าวแล้วขายให้ผู้ส่งออก เสียค่าบรรทุกครั้งเดียว แต่ทุกวันนี้โรงสีต้องส่งให้รัฐบาล แล้วคนประมูลข้าวก็ต้องเอารถมาขนอีกครั้งนึง คิดที่ 12 ล้านตัน จะเสียค่าขนส่ง ค่าน้ำมัน อีกประมาณ 3.7 หมื่นล้านบาท

- ค่าจ้างโรงสี ทั้งหมด 21 ล้านตัน คูณด้วย 500 คิดเป็นตัวเลขกลมๆ อยู่ที่ประมาณ 1.05 หมื่นล้านบาท ที่ต้องแปลงข้าวเปลือกเป็นข้าวสาร ซึ่งปกติโรงสีทำอยู่แล้ว แต่วันนี้คุณต้องจ้างเขา

ช่องว่างตรงนี้รวมๆกันแล้วประมาณ 1.23 แสนล้านบาท ยังไม่รวมทุจริต

คำถามคือถ้าเราต้องสูญเสียเยอะขนาดนั้น เราหาทางออกด้วยการจ่ายเงินให้ชาวนาจริงๆโดยตรงเลยดีกว่า คำนวณแล้วประมาณไม่เกิน 4 หมื่นล้านบาท แล้วถึงมือชาวนาโดยตรงทุกครอบครัวแน่ๆ ส่วนชาวนาปีที่จนที่สุดให้คูณสองเลยก็ยังได้ แล้วยังจะช่วยตัดวงจรทุจริต ไม่มีจำนำก็ไม่มีข้าวให้ทุจริต ถ้ารัฐบาลจริงใจกล้าทำ ตนจะกราบงามๆสามครั้งเลย

นายปราโมทย์ ยังกล่าวด้วยว่า ที่เจ็บปวดที่สุดคือจำนำข้าวได้สร้างค่านิยมทุจริต เพราะทุจริตแล้วรวย จะปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้มันทุจริตทั้งขบวนการ ตัวเลขชาวนา นาปรังที่เข้าโครงการเกินไป 5 แสนกว่าราย ถามว่ามาจากไหน เราได้ข่าวมาว่าคนปลูกมันก็เข้าโครงการข้าว เรากำลังยินยอมให้มีการทุจริต เพราะทำไปก็จับไม่ได้ สังคมก็ยอมรับ เป็นสิ่งที่ประเทศชาติกำลังจะสูญเสียอย่างประเมินค่าไม่ได้

อดีตกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ กล่าวด้วยว่า ถ้าศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าโครงการจำนำขัดต่อรัฐธรรมนูญ ถือเป็นทางลงที่ดีของรัฐบาล แต่หลังจากนั้นก็ต้องคิดวิธีใหม่เพื่อช่วยชาวนา ซึ่งก็มีวิธีมากมายแต่รัฐบาลไม่ทำ

ยกตัวอย่างนโยบายระบายข้าวตามที่รัฐบาลเคยประกาศไว้คือ
1. จีทูจี
2.ประมูลขายใน-นอกประเทศ
3. ผ่านตลาดสินค้าล่วงหน้า จนถึงวันนี้แม้แต่ตันเดียวก็ไม่ขาย ที่สำคัญตลาดสินค้าล่วงหน้าไม่มีใต้โต๊ะแม้แต่บาทเดียว

นี่ก็จะตอบได้ว่า มีวิธีดีๆมากมาย แต่รัฐบาลไม่ทำ ก็เพราะโกงกินไม่ได้


ปีที่แล้วรัฐบาลยิ่งงั่ง มีน้ำท่วมใหญ่
มาปีนี้ รัฐบาลยิ่งงั่ง สร้างหนี้ท่วมแผ่นดิน






วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555

สรยุทธ ควรแสดงสปิริตหยุดดำเนินรายการ







หลังจากป.ป.ช. ได้ชี้มูลความผิดของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ในเรื่องเก่าค้างมาตั้งแต่จัดรายการคุยคุ้ยข่าว ทางอสมท. เรื่องคอร์รัปชั่นเงินรายได้ของ อสมท.ไป 138 ล้านบาท นั้น

ถึงแม้สรยุทธจะออกมาชี้แจงในเรื่องเล่าเช้านี้ว่า เขาได้จ่ายส่วนที่ขาดไปตรงนี้ 138 ล้านไปให้แก่อสมท.ไปแล้วก็ตาม

แต่ อสมท. คือหน่วยงานของรัฐ หาก อสมท.ไม่ไปฟ้องร้องเอาเรื่อง สรยุทธก็คงยังไม่คืนเงินส่วนนี้ให้ อสมท. จริงหรือไม่?

ในเมื่อ อสมท. เป็นหน่วยงานของรัฐ เมื่อรายได้ขาดหายไป ก็เท่ากับความผิดอาญาข้อหาคอรัปชั่นต่อหน่วยงานของรัฐได้เกิดขึ้นแล้ว เพราะมีผู้เกี่ยวข้องเป็นพนักงานอสมท. ที่โดนชี้มูลความผิดวินัยร้ายแรงด้วย คดีนี้ก็คงจะยอมความเลิกราง่ายๆ แบบคดีแพ่งคงไม่ได้

คลิปสรยุทธแก้ตัวในคดีไร่ส้มว่าคืนเงินให้ อสมท. แล้ว กลางรายการเรื่องเล่าเช้านี้



สุดท้ายคดีของสรยุทธ ก็คงต้องไปพิสูจน์ในศาล คดีแบบนี้ทางรอดมีมาก เพราะคดีแบบนี้มันก็มีช่องทางให้รอดเยอะ หรือถ้าผิดจริง ศาลไทยอาจให้รอลงอาญา ก็ขนาดคดีสร้างความเสียหายให้ประเทศชาติเป็นพันเป็นหมื่นล้าน อย่างคดีของนายอมเรศ ศิลาอ่อน ศาลยังให้รอลงอาญาเลย

สำคัญที่ว่า ตอนนี้ สรยุทธ เขาควรหยุดดำเนินรายการในช่วงนี้หรือไม่?

คือรายการเรื่องเล่าเช้านี้ก็คงมีต่อไปได้ แต่ตัวสรยุทธ ควรหยุดเป็นผู้ดำเนินรายการ เพื่อแสดงสปิริตสาธารณะ รับผิดชอบต่อการชี้มูลความผิดของ ป.ป.ช.

เพราะสรยุทธ เป็นบุคคลสาธารณะ เป็นสื่อสารมวลชน อาชีพนี้ต้องมีจิตสำนึกรู้ผิดชอบชั่วดียิ่งกว่าประชาชนทั่วไป เพราะรายได้ที่ทำให่้สรยุทธรวยที่สุดในบรรดาสื่อสารมวลชน สรยุทธรวยยิ่งกว่าเสี่ยตา ปัญญา นิรันดร์กุลด้วยซ้ำ (เพราะกำไรของสรยุทธเยอะกว่าเวิร์คพอยซ์) รายได้นั้นมาจากความเชื่อถือศรัทธาจากประชาชน

ฉะนั้น สรยุทธ คุณสมควรแสดงสปิริตหยุดดำเนินรายการทางหน้าจอทุกอย่างสักพัก โดยไปคอยควบคุมเบื้องหลังแทน อาจให้พิธีกรลูกจ้างของคุณคนอื่น ๆ ทำหน้าที่แทนคุณไปก่อน จนกว่าคดีนี้จะสิ้นสุดว่า สรยุทธกระทำผิดจริงหรือไม่??

เพื่อเป็นบรรทัดฐานตามที่สภาการหนังสือพิมพ์ออกหนังสือเตือนให้คุณพิจารณาตัวเอง ในการทำหน้าที่สื่อในช่วงนี้

คลิกที่รูปเพื่อขยาย

คลิกที่นี่เพื่ออ่านข่าวนี้


มีหลายสถาบัน หลายหน่วยงานเช่น สภาวิชาชีพวิทยุและทีวี หรือจะเป็น เครือข่ายต่อต้านคอรัปชั่น ที่ร่วมกันกดดันให้สรยุทธ พิจารณาบทบาทตัวเองในช่วงที่คดีนี้ยังไม่สิ้นสุด แต่เพราะเมื่อปปช. ชี้มูลความผิดแล้ว หากสรยุทธยอมสละผลประโยชน์มหาศาลเพื่อแสดงสปิริต ย่อมเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่ดีให้แก่วิชาชีพสื่อต่อไป


แค่เล่าข่าวแบบสรยุทธ ให้โก๊ะตี๋เล่าแทนก็ได้ ^^


---------------------

สปิริตพิธีกรของเกาหลีใต้

คังโฮดง พิธีกรชื่อดังเกาหลีใต้ พอถูกจับได้ว่าเลี่ยงภาษี เขาแสดงสปิริต ออกจากวงการของไปพิจารณาความผิด­ตัวเอง
แต่นั่นคือที่เกาหลี

แต่ที่นี่ประเทศไทย สื่อไม่ต้องมีความรับผิดชอบทางจ­รืยธรรมครับ 5555



หลังจากพิธีกรตลกชื่อดังอย่าง คังโฮดง ได้ออกมาแถลงข่าวเมื่อวันที่ 9 กันยายน ว่า ขอยุติบทบาทในวงการบันเทิงของตัวเองเป็นการชั่วคราว เพื่อชดเชยต่อความผิดพลาดเรื่องการหลบเลี่ยงภาษีของเขาเอง จนทำให้เขาถูกสรรพากรเรียกเก็บภาษีย้อนหลังหลายล้านวอน

โดย คังโฮดง เปิดใจทั้งน้ำตาว่า ในฐานะอาชีพเป็นคนบันเทิง มีหน้าที่มอบความสุขและเสียงหัวเราะให้กับทุกคนผ่านโทรทัศน์ สถานการณ์เช่นนี้ตนคงไม่สามารถพูดคุยหรือหัวเราะผ่านหน้าจอได้อีกต่อไป จึงใช้โอกาสนี้บอกกับผู้ชมถึงการถอนตัวจากวงการบันเทิง

นอกจากนี้ ดาราตลกชื่อดังยังกล่าวต่อไปด้วยว่า หลังออกจากวงการบันเทิงแล้ว ตนจะใช้โอกาสทบทวนการกระทำ ย้อนมองกลับไปว่าอะไรที่ทำให้ตนมีชื่อเสียงขึ้นมา และตนอยากจะขออภัยต่อประชาชนจริง ๆ สำหรับเหตุปัญหาเรื่องภาษีที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดจากการขาดความละเอียดรอบคอบในการจัดการของตน และขออภัยที่ทำให้สังคมต้องวุ่นวาย


เห็นมั้ยครับว่า พิธีกรคนนี้ เขาก็ได้ใช้เงินภาษีคืนไปแล้ว เหมือนกับที่สรยุทธอ้างว่า ใช้เงินคืนอสมท.ไปแล้ว แต่สปิริตของพิธีกรเกาหลีใต้ เขาสูงกว่าสรยุทธเยอะ!!

---------------------

ผมก็แฟนรายการของสรยุทธประจำ แต่ผมไม่ปกป้องสรยุทธแบบแฟนข่าวจำนวนมากที่พยายามปกป้องสรยุทธ

เพราะแฟนสรยุทธ จำนวนมากมักอ้างว่า ศาลยังไม่ตัดสิน ก็แสดงว่ายังไม่ผิด

แต่เขาลืมไปว่า จริยธรรมของสื่อต้องมีมากกว่าประชาชน หากป.ป.ช. ได้ชี้มูลความผิดแล้ว สรยุทธก็ควรหยุดดำเนินรายการจนกว่าคดีจะสิ้นสุด เพราะแม้แต่สภาหนังสือพิมพื สภาวิชาชีพวิทยุโทรทัศน์ ก็ยังเรียกร้องให้สรยุทธหยุดออกทีวีสักพักเลย

สรยุทธบอกเองว่า คืนเงินให้อสมท.แล้ว นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่า ได้เคยเอาเงิน อสมท. ไปจริง ๆ

เหมือนกับเราขโมยของ พอโดนตำรวจจับได้ เราเอาของคืนเจ้าของไป ก็ไม่ได้แปลว่า ความผิดยุติลงไปด้วย

เพราะความผิดอาญาเกิดขึ้นแล้ว ยอมความไม่ได้

แต่สรยุทธ กำลังพยายามใช้ตรรกะเดียวกับธัมมชโย คือ คืนเงินแล้วน่าจะจบ แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนั้น เพราะคดีของสรยุทธเป็นความผิดที่กระทำต่อหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ถือเป็นหน่วยงานของรัฐเช่นกัน ซึ่งจะมายอมความเมื่อคืนเงินแล้วไม่ได้แน่นอน

ใหม่เมืองเอก

----------------------

อัพเดทข่าวล่าสุด

ศาลชั้นต้นได้ตัดสินจำคุกสรยุทธ โกงเงิน อสมท. แล้ว โดยไม่รอลงอาญา



29 ก.พ. 2559 ศาลชั้นต้นได้ตัดสินจำคุกสรยุทธและพวก 13 ปี 4 เดือน ทุจริตค่าโฆษณารายการคุยคุ้ยข่าวที่ออกอากาศทาง อสมท. ช่วง 48-49 เป็นเงินกว่า 138 ล้านบาท ส่วนอดีตพนักงาน อสมท. ถูกตัดสินจำคุก 20 ปี


ถึงเวลานี้แล้ว ตามหลักจริยธรรมและหลักจรรยาบรรณของสื่อ สรยุทธ สมควรหยุดดำเนินรายการไปจนกว่าคดีจะสิ้นสุดลงได้แล้วนะ หรือยังจะหน้าด้านทำรายการต่อไป ??


-----------------------------

สรุปและลำดับเหตุการณ์คดีสรยุทธ ไร่ส้ม (โดยเพจสรุป)







วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555

คดี98ศพ นายอภิสิทธิ์ต้องขอโทษประชาชน!!







กรณี98 ศพ จากเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมือง ที่รวมจำนวนผู้เสียชีวิต ในหลายสถานที่ ตั้งแต่ก่อนการสลายการชุมนุม ทั้งชีวิตทหาร ชีวิตตำรวจ ชีวิตผู้บริสุทธิ์ หรือแม้แต่ชีวิตพวกเผาเมือง

ถึงอย่างไรเสีย คนเป็นนายกรัฐมนตรีในยุคนั้น ก็จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ แม้จะทำตามขั้นตอนที่ควรทำทุกอย่าง แม้จะไม่ได้มีเจตนาทำให้ใครเสียชีวิต แต่เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรีในยุคที่มีประชาชนตาย ทั้งเจ้าหน้าที่ ทั้งผู้บริสุทธิ์และผู้ก่อการร้ายก็ตาม

นายกรัฐมนตรีก็จะต้องออกมารับผิดชอบกล่าวคำขอโทษต่อประชาชนทั้งประเทศ ในความสูญเสียของทุกฝ่าย นั่นแหละ ถึงจะเรียกว่า ภาวะผู้นำที่พร้อมรับผิดชอบทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับประชาชน

เพราะไม่ว่าจะโจร จะทหาร จะตำรวจ จะคนเสื้อหลากสี จะคนเสื้อแดง จะชายชุดดำ จะเสธ.แดง หรือใครๆ ก็ตาม ก็ล้วนแต่ถือว่า เป็นประชาชนคนไทยทั้งนั้น

อีกทั้งการสลายการชุมนุมก็ย่อมมีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้ เช่นผู้ตายที่เป็นชาวต่างประเทศ เช่นนักข่าวญี่ปุ่น หรือนักข่าวชาวอิตาลี คนที่เป็นรัฐบาล คนเป็นนายกรัฐมนตรีย่อมสมควรต้องออกมาขอโทษต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้น

โดยเฉพาะความสูญเสียกับนักข่าวชาวต่างชาติที่เข้ามาทำหน้าที่ ไม่ว่าเขาจะตายเพราะผู้ก่อการร้าย หรือตายเพราะทหารหรือไม่ก็ตาม นั่นย่อมถือเป็นความบกพร่องในการดูแลความปลอดภัยให้แก่พวกเขาของรัฐบาลไทยเช่นกัน

แม้รัฐบาลจะไม่ได้เป็นฝ่ายต้องการให้เกิดความสญเสีย แต่เมื่อความสูญเสียเกิดขึ้นแล้ว ถึงอย่างไรเสีย คนเป็นนายกรัฐมนตรีก็ต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบด้วยการขอโทษต่อประชาชนไทยทั้งประเทศ

นายกรัฐมนตรีต้องออกมาขอโทษต่อญาติพี่น้องผู้สูญเสีย และญาตีพี่น้องของนักข่าวต่างชาติ ด้วยตัวนายกรัฐมนตรีเอง

ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมไทยก็คือ นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ยังไม่ออกมาขอโทษกับสูญเสียของชาติต่อประชาชนคนไทยทั้งประเทศ

คำแนะนำของคอป. คือ นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์และอดีตนายกอภิสิทธิ์ควรออกมาขอโทษประชาชนร่วมกัน

ซึ่งนี่คือสิ่งที่ถูกต้องที่สุด เพราะนายกฯยิ่งลักษณ์ต้องออกมาขอโทษในนามรัฐบาลไทย (ในปัจจุบัน) ส่วนนายอภิสิทธิ์ ต้องออกมาขอโทษในฐานะผู้รับผิดชอบสถานการณ์ในวันนั้น

---------------------------------

ตัวอย่างการขอโทษระดับชาติของผู้นำ

อย่างเช่น เมื่อเดือนที่แล้ว นายกรัฐมนตรีอังกฤษ นายเดวิด คาเมร่อน ออกมาขอโทษประชาชน ในฐานะตัวเเทนของผู้นำประเทศ เเละ ตัวเเทนของประชาชนได้ออกมากล่าวขอโทษ ต่อครอบครัวรวมถึงญาติผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์คดีโศกนาฏกรรมฮิลล์สโบโร่ เมื่อ23ปีที่แล้ว ที่ทำให้มีแฟนบอลเสียชีวิตร่วมร้อยคน

หลังจากรัฐบาลปล่อยให้ข้อข้องใจในเหตุการณ์นี้ยืดเยื้อมาอย่างยาวนาน เเละยอมรับว่า เหตุการณ์โศกนาฏกรรมครั้งนี้ไม่ได้เป็นความผิดของเเฟนบอลตามกระเเสข่าวในอดีต

เเต่เนื่องจากมีการเผยหลักฐานใหม่ว่า เกิดจากความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่จนปล่อยให้มีเเฟนบอลเข้าไปชมเกมเกินความจุของสนาม นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่พยาบาลยังให้การช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงผู้เสียชีวิตล่าช้าจนทำให้มียอดผู้เสียชีวิตเเละบาดเจ็บมากมายขนาดนี้

แม้นายเดบิด คาเมรอน ไม่ได้เป็นนายกฯ ในยุคนั้น ก็ยังต้องออกมาแถลงขอโทษ ในฐานะตัวแทนรัฐบาลอังกฤษเลย




หรือตัวอย่างเช่นตัวอย่างภาวะผู้นำของนายกรัฐมนตรีจีน นายเหวิน เจียเป่า กำลังก้มหัวขอโทษประชาชนจากอุบัติเหตุรถไฟฟ้าทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก ทั้งๆที่ความผิดครั้งนี้ ก็ไม่ได้เกิดจากท่านโดยตรง เพราะเป็นความผิดของการทุจริตก่อสร้างของรัฐมนตรีคมนาคมในยุคก่อนหน้านั้น แต่เมื่อท่านเป็นผู้นำประเทศก็แสดงความรับผิดชอบต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้น!!





หรือแม้แต่บริษัทแอปเปิล นาย ทิม คุ๊ก ซีอีโอของแอปเปิล ก็ออกแถลงการณ์ขอโทษผู้บริโภคทั่วโลกเกี่ยวกับความผิดพลาดของระบบแผนที่บนไอโอเอส 6 ของไอโฟน 5

เขายอมรับว่า บริษัทไม่สามารถทำตามพันธสัญญาในการสร้างผลิตภัณฑ์ ที่ยอดเยี่ยมด้วยระบบแผนที่ใหม่และแอพแผนที่ใหม่ของบริษัทมีข้อบกพร่อง



"เราต้องขอโทษเป็นอย่างสูง ที่ระบบแผนที่ใหม่เป็นสาเหตุให้ลูกค้าไม่พอใจ และเราจะทำทุกอย่างเพื่อเร่งแก้ไขและปรับปรุงข้อบกพร่องให้ดีขึ้น"

จะว่าไปแล้ว กรณีของแอปเปิล ก็เป็นความผิดพลาดของทีมวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งคนเป็นผู้บริหารก็ต้องออกมาขอโทษผู้บริโภคในฐานะผู้นำองค์กร

เฉกเช่นนายอภิสิทธิ เป็นนายกรัฐมนตีในยุคที่มีเหตุการณ์จราจลปี53 แม้ผู้เสียชีวิตจะเป็นคนร้าย หรือผู้เสียชีวิตจะเสียชีวิตจากความผิดพลาดในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ก็ตาม

นายอภิสิทธิ์ ก็ไม่มีทางปฏิเสธความรับผิดชอบได้ทั้งสิ้น ในฐานะผู้นำประเทศ


จากตัวอย่างที่ผู้นำระดับโลก ที่ผมยกมาให้ดูนั้น ก็แสดงให้เห็นถึงภาวะผู้นำที่ต้องรับผิดชอบต่อองค์กร ต่อประเทศชาติ แม้ตนเองจะไม่ได้เป็นผู้ก่อปัญหาโดยตรงก็ตาม


แต่นักการเมืองไทย เก่งที่สุดในเรื่องปัดความรับผิดชอบ