วันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ชี้ความต่าง มาตรา68 ในรธน.50 กับมาตรา95 พ.ร.บ.ประกอบรธน.50 ว่าด้วยพรรคการเมือง





มาตรา68 ในรัฐธรรมนูญ2550 ว่าด้วยเรื่องล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข  ผมได้อธิบายไปแล้วว่า ผู้พบการกระทำดังกล่าวสามารถยื่นเรื่องตรงต่อศาลรธน. ได้ หากอัยการสูงสุดไม่ยอมยื่นให้ ในบทความ ความโง่ของนิติราษฎร์ ตอนแรก

คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!

(คลิกดูที่เฟสบุ๊ค)


และผมได้เทียบเคียงไว้ว่า ในมาตรา95 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ก็ยังระบุไว้ว่า หากนายทะเบียนพรรคการเมืองพบเห็นการกระทำของพรรคการเมืองที่อาจเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นายทะเบียนก็สามารถยื่นเรื่องโดยตรงต่อศาลได้เช่นกัน หากอัยการสูงสุดไม่ยื่นให้

ซึ่งผมได้อธิบายรายละเอียดไว้ที่ บทความเรื่อง ความโง่ของนิติราษฎร์ ตอน2


คลิกที่รูปเพื่อขยาย!!


ทีนี้มีประเด็นที่พวกแกนนำฟายแดงและนักวิชาการแดงชั่วได้อ้างว่า ทำไมในคดียุบพรรคปชป. ศาลได้เคยแถลงเรื่อง มาตรา95 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ50ว่าด้วยพรรคการเมืองไว้ว่า ความผิดในมาตรา94 ร้ายแรง จึงกำหนดหน้าที่นายทะเบียนในมาตรา95 ไว้ว่านายทะเบียนต้องยื่นเรื่องผ่านอัยการสูงสุดเป็นผู้ดำเนินการ ตามคำตัดสินศาลดังนี้

"..พรรคการเมืองใดมีการกระทำที่ฝ่าฝืนมาตรา 82 หรือไม่ขึ้นอยู่กับอำนาจนายทะเบียนนั้น มาตรา 82 เป็นเรื่องของการกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินสนับสนุนพรรคการเมืองให้ถูกต้องรวมทั้งการปฎิบัติงานทางด้านเอกสาร การจัดทำเอกสารต้องจัดทำรายงานให้ถูกต้อง รายงานประจำตามปกติ ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่โดยตรงของนายทะเบียนพรรคการเมือง ที่จะต้องดุแลปฎิบัติให้พรรคการเมืองทำตามหมายกำหนด อันเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของนายทะเบียนตรวจสอบ มาตรา 93 จึงเป็นหน้าที่นายทะเบียนยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนุญได้โดยตรง ซึ่งต่างจากการกระทำตามมาตรา 94 ซึ่งเป็นการกระทำในเรื่องที่ร้ายแรงกว่า  มาตรา 95 จึงบัญญัติให้นายทะเบียนพรรคการเมืองต้องส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดเป็นผู้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้อัยการสุงสุดผู้มีความชำนาญด้านกฏหมายเป็นผู้ดำเนินการ .."

หากเราดูจากมาตรา95 พ.ร.บ.ประกอบรธน.ว่าด้วยพรรคการเมือง จะเห็นได้ว่า ศาลก็ไม่ได้พูดผิด เพียงแต่ศาลยังพูดไม่หมดเท่านั้น

ก็คือมาตรา95 ในขั้นตอนแรก นายทะเบียนต้องยื่นให้อัยการสูงสุดก่อน และหากอัยการสูงสุดไม่ยอมยื่น ก็ต้องไป

ขั้นตอนที่2

คือนายทะเบียนตั้งคณะทำงานขึ้นคณะหนึ่งโดยมีผู้แทนจากนายทะเบียนและผู้แทนจากสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐาน แล้วส่งให้อัยการสูงสุดเพื่อยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญต่อไป และถ้าอัยการสูงสุดก็ยังไม่ยอมยื่นเรื่องให้ศาลอีก ก็ต้องไป

ขั้นตอนที่3

คือ ในกรณีที่คณะทำงานดังกล่าวไม่อาจหาข้อยุติเกี่ยวกับการดำเนินการยื่นคำร้องได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่แต่งตั้งคณะทำงาน ให้นายทะเบียนโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจยื่นคำร้องเอง

ฉะนั้นในมาตรา95 พ.ร.บ.ประกอบรธน. ว่าด้วยพรรคการเมือง จึงต้องเป็นไปตามลำดับขั้นตอนตามนี้ โดยผมขอสรุปง่ายๆ คือ

1 ต้องยื่นให้อัยการสูงสุดก่อน ถ้าอัยการสูงสุดไม่ยืนศาลให้ ก็ต้อง

2 ตั้งตัวแทนนายทะเบียน ประชุมร่วมกับตัวแทนอัยการสูงสุด เพื่อรวบรวมหลักฐานแล้วยื่นให้อัยการสูงสุดยื่นศาลอีกครั้ง และถ้าอัยการสูงสุดไม่ยื่นต่อศาลอีก ก็

3 นายทะเบียนยื่นตรงต่อศาลรธน.เอง โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการเลือกตั้ง

ซึ่งสุดท้าย ก็แปลว่า เรื่องล้มล้างการปกครองตามมาตรา94 พ.ร.บ.ประกอบรธน.50 ว่าด้วยพรรคการเมือง  ได้กำหนดหน้าที่นายทะเบียนพรรคการเมืองตามมาตรา95 ในขั้นตอนที่3 ว่านายทะเบียนสามารถยื่นเรื่องต่อศาลได้โดยตรงได้ โดยไม่ต้องง้ออัยการสูงสุด หากอัยการสูงสุดไม่ยอมยื่นให้

ส่วนมาตรา68 ในรัฐธรรมนูญ2550 ต่างจากมาตรา95 พ.ร.บ.ประกอบรธน.50 ว่าด้วยพรรคการเมือง ก็ตรงที่ มาตรา68 รธน.50 กำหนดเลยว่า ผู้ร้องสามารถยื่นต่อศาลได้โดยตรงเลย ไม่ต้องทำตาม3ขั้นตอนเหมือนนายทะเบียนพรรคการเมืองกระทำตามมาตรา95

และที่สำคัญที่สุด ต้องถือว่า รัฐธรรมนูญสำคัญที่สุด จึงต้องยึดถือรัฐธรรมนูญเป็นหลักไว้ก่อน

--------------------------

จากคำตัดสินของศาลรธน. ในเรื่องมาตรา68 จึงสรุปได้ว่า

การปกป้องระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระมุข เป็นสิทธิและหน้าที่ของคนไทยทุกคน

ซึ่งตรงจุดนี้เองจึงทำให้พรรคเพื่อไทย โดยรองโฆษกพรรค ออกมาโชว์โง่ ว่าจะแก้ไขมาตรา68 เพื่อให้เป็นอำนาจของอัยการสูงสุดเท่านั้น ที่จะยื่นเรื่องต่อศาลได้

คลิกอ่านข่าวนี้

นั่นก็เท่ากับว่า พรรคเพื่อไทยกำลังจะริดรอนสิทธิและหน้าที่ของประชาชนให้ลดลง ซึ่งย่อมขัดกับรัฐธรรมนูญในมาตราที่69 และ70 เพราะจะไปจำกัดสิทธิปกป้องการปกครองไว้แค่อัยการสูงสุดเท่านั้น

สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ

มาตรา ๖๙ บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีซึ่งการกระทำใด ๆ ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มา
ซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

หน้าที่ของชนชาวไทย

มาตรา ๗๐ บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และ
การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้


คลิกอ่าน ก่อแก้ว ปากกล้า ขาสั่น ทำกร่างสร้างราคา





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ร่วมฮาแม้วจรจัด!! ถ้าไม่ชอบก็ผ่านไป ถ้าชอบใจก็ขอเสียงเชียร์ และขออภัยหากทำให้พวกคาราบาวแดงกระอัก ^^